28 กรกฎาคม 2553

::: เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น :::


ผมให้คำสัญญากับเพื่อนหนอนทุกคนว่าหัวข้อเรื่อง เป็นชื่อหนังสือจริงๆ ครับ และเชื่อได้แน่นอนว่าเพื่อนหนอนบางคนอาจจะเคยผ่านทั้งหู ผ่านทั้งตา หรือแม้กระทั้งผ่านทั้งมือมาแล้วกับหนังสือเล่มนี้

ด้วยความบังเอิญหรือพรหมลิขิตก็ไม่แน่ใจ (และก็ไม่ได้ใส่ใจ) ที่ขีดให้ชะตาชีวิตหนอนตัวอ้วนๆอย่างผม ต้องเข้ามาหลบพักกายจากการเปียกปอนชุ่มไปด้วยน้ำจากพิษของฤดูฝน อีกทั้งยังต้องรีบหาพื้นที่ในการรักษาหัวใจจากพิษของความรักในร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊ค เซ็นเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต ปัญหาของการติดฝนในครั้งนี้คือการจัดสรรเวลาครับ กล่าวในทำนองนี้อาจจะคิดได้ว่าผมมีเวลาอยู่ในกำมืออยู่น้อยนิด จะใช้อย่างไรให้เกิดทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างสูงสุด...ผิดถนัดครับ เพราะ ช่วงเวลานั้นผมสามารถสะสมเวลาได้มากเท่ากับลมหายใจของคนหนึ่งคนเลยทีเดียว อยากจะแบ่งขายให้กับผู้ที่สัญจรผ่านไปละแวกนั้นเหลือเกิน แต่ทว่าทำได้ยากเพราะฝนตกหนักมาก ยากที่ภารกิจของกระผมจะดำเนินไปได้
ในเมื่อการเจราซื้อขายมีความน่าจะเป็นเท่ากับศูนย์ ทางที่ดีที่สุดที่ผมจะทำได้คือ เดิน...เดิน และเดิน เพื่อ 'เล็ง' หา 'อาหาร' ที่มีทั้งคุณประโยชน์และรสชาติที่อร่อยถูกปากหนอนอย่างผมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (มีข้อแม้เรื่องงบประมาณในการเลือกซื้ออยู่ในบริบทนี้ด้วย) หลังจากการเดินสังเกตการณ์ น่าจะล่วงเข้านาทีที่ 20 ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะซาลงแต่อย่างใด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในชีวิตผมอีกต่อไป เพราะ ผมกำลังเพลิดเพลินกับอาหารตาของบรรดาหนังสือที่มาล่อตาล่อใจผมนับสิบเล่ม และหนึ่งในนั้นมีเรื่อง "เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น" รวมอยู่ด้วยครับ หนังสือเล่มนี้จัดได้ว่าเป็นหนังสือประเภทเรื่องสั้นเชิงธรรมมะ

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือชื่อเรื่อง ที่สามารถกระตุ้นต่อมเสียเงินในร่างกายของผมแทบจะเรียกได้ว่าวินาทีแรกที่เห็นชื่อหนังสือเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้การรวมเล่มเป็นเล่มที่ 2 ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงความนิยมและความน่าเชื่อถือของกระดาษบรรจุตัวอักษรที่วางอยู่ตรงหน้า เพราะถ้าไม่ดีจริง หรือไม่ประทับใจผู้อ่านจริง คงยากที่จะมีการนำมารวมเล่มอีกเป็นเล่มที่ 2 แต่ทว่าข้อเสียที่โดดเด่นมากคือเรื่องหน้าปกหนังสือที่สุดแสนจะเชย จึงพาลคิดไปถึงการขาดจินตนาการของผู้จัดทำม๊ากมาก (จากน้ำเสียงแสดงว่ามากถึงที่สุด) แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคของหนอนหนังสืออย่างผม เพราะความรู้สึก "ถูกใจ" ได้เข้ามากัดกินพื้นที่ความกระหายของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่รอช้าเงินจำนวน 175 บาทพร้อมเดินจากผมไปอย่างโดยดี โดยไม่ลืมความรู้สึกอิ่มเอมใจกับสมาชิกเล่มใหม่ซึ่งเข้ามาแทรกกลางโดยฉับพลัน และสุดท้าย...เกิดคำถามขึ้นว่า ผมควรขอบคุณเม็ดฝนทุกเม็ดใช่ไหม (เนี้ย)

"เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น" เล่ม 2 ซึ่งถูกแต่งแต้มความฝันโดย จุติมา เนื้อหาโดยองค์รวมเกี่ยวข้องกับการแสดงทัศนคติต่อเรื่องราวต่างๆโดยที่ส่วนใหญ่จะหยิบยกประเด็นเรื่องความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม แม้กระทั่งเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นศาสตร์ซึ่งถูกถ่ายทอดความเชื่อประเภทนี้มาจากบรรพบุรุษ

ประโยคทีเด็ด (ซึ่งมัดใจหนอนอย่างผม) ของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ปกหลังโปรยว่า...

สภาวธรรมชาตินั้น ไม่มีทั้งความจริง และความไม่จริง
ถ้าความจริงเกิดขึ้น ความไม่จริงเหล่านั้นก็มีขึ้นมาตามเหตุปัจจัย
ถ้าลองศึกษาอะไรสักอย่างจนถึงที่สุดแล้ว
จะพบว่าไม่มีอะไรในนั้นเป็นแบบที่คิดเอาไว้
ความสงสัยก็เช่นเดียวกัน...พอถึงที่สุดของคำถามเหล่านั้นแล้ว...
ก็จะไม่มีคำถามใดๆนั่นเอง...


สารภาพว่านาทีแรกที่อ่านคำโปรยจบลง ในหัวสมองผมปรากฏตัวอักษรอยู่สองตัวคือ "ง" และ "ง"
ยอมรับว่าไม่เข้าใจว่าผู้เขียนต้องการสื่อสารอะไรผ่านตัวอักษรที่รับรู้ได้แค่เพียงสละสลวยด้านการใช้คำ แต่ทว่าแปลความหมายที่ผู้เขียนพยายามสื่อสารไม่ได้ แน่นอนว่าคำตอบอยู่ที่การอ่าน เมื่อขั้นตอนการอ่านได้เริ่มต้นขึ้น ความหมายของคำโปรยด้านบนเริ่มทยอยเดินเข้าแถวเพื่อให้ผม 'เช็คชื่อ' อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากอักษรความหมายตัวแรกถึงตัวสุดท้ายได้อย่างครบถ้วน พออ่านจบได้ใจความว่า...

"ความไม่รู้ของมนุษย์ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการแสวงหา 'ความจริง' ว่าตกลงแล้ว เรื่องที่กำลังเคลือบแคลงใจสงสัยอยู่นั้นบทสรุปของมันคืออะไร แล้วจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่ากระบวนการหรือขั้นตอนของการแสวงหาความจริงจึงเริ่มต้นขึ้น และเมื่อมนุษย์ได้ทราบความจริง ที่คิดว่าจริงแล้ว กระบวนการแสวงหาจึงสิ้นสุดลง ถึงแม้ว่าความจริงที่ปรากฏอาจจะไม่ใช่ความจริงที่แท้จริงก็ตาม แต่มนุษย์ต้องการแค่เพียงกระบวนการในการดับกระหายความอายากรู้เท่านั้น จึงสอดคล้องกับข้อความที่ว่า ธรรมชาตินั้นไม่มีทั้งความจริง และความไม่จริง ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับบริบทและปัจเจกชนโดยทั้งสิ้น"

ผมประทับใจสำนวนการเขียนของคุณจุติมา เธอไม่ได้เลือกสรรคำหรือภาษาที่สละสลวยอะไรมากมาย ตรงกันข้ามบางข้อความกลับพบกลิ่นอายของสไตล์การเขียนข่าวเจือปนอยู่ด้วย (คุณจุติมาเคยมีอาชีพเป็นนักข่าวมาก่อน) แต่เธอเลือกใช้คำได้เหมาะสมกับแต่ละเรื่องที่ประพันธ์ขึ้น อีกทั้งการเกริ่นนำเข้าเนื้อเรื่องยังชวนให้เกิดความน่าสนใจเกือบทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "นกแสก" ซึ่งเธอเปิดเรื่องด้วยวิถีการดำรงชีวิตของคนประเทศกัมพูชาที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนกแสกว่าเป็นนกอัปมงคล (สอดคล้องกับความเชื่อของคนไทย) ผู้คนทั่วไปไม่นิยมเลี้ยงไว้ภายใต้ชายคาเรือน เพราะมีความเชื่อว่าเป็นนกมรณะ คงพอๆกับความเชื่อดั้งเดิมที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมปลูกต้นลั่นทมไว้ภายในอาณาเขตที่พักอาศัย เพราะเชื่อว่าครอบครัวจะเกิดความระทมไปตามชื่อเรียก โดยที่เนื้อเรื่องมีการจำลองเหตุการณ์ของแม่ผู้เขียนได้เคยประสบพบเจอกับนกประเภทนี้ โดยเคยถูกนกแสกจิกตามร่างกายซึ่งยังไม่เคยไปทำอันตรายอะไรแก่มันก่อนเลย แน่นอนว่านกตัวนั้นย่อมโดนคำด่าทอเป็นการลงโทษซึ่งถือว่าน่าจะสาสม แต่ทว่าหลังจากนั้นภายในครอบครัวของผู้เขียนก็ไม่มีใครเสียชีวิตหรือได้รับอุบัติเหตุอะไร เพราะตามคำบอกเล่าที่ว่าถ้านกแสกบินมาเกาะหลังคาบ้านใครแล้วร้อง(ตามธรรมชาติของมัน) อีกสามวันเจ็ดวันจะมีคนตายเกิดขึ้น แต่ทว่านกแสกตัวนี้ผู้เขียนบรรยายให้ฟังว่ามาเกาะอยู่ใกล้กับชายคาบ้านมาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะมาจิกตีมารดาตน และหลังจากที่มันจากไปก็ไม่ปรากฏความสูญเสียขึ้นภายในบ้าน

ผู้เขียนสรุปอย่างน่าสนใจว่า ความเป็นความตาย ไม่มีใครกำหนดได้ ถึงคราวถึงวาระที่จะต้องไปถึงแม้ว่านอนกอดเสาอยู่ภายในบ้าน อย่างไรเสียก็คงหนีวัฏจักรนี้ไม่พ้น นกแสกจัดได้ว่าเป็นตัวแทนของการเตือนสติ ให้มนุษย์ทุกคนดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท เมื่อเราไม่เห็นมัน เราอาจจะละเลย อยากจะทำกรรมชั่วก็ทำตามสะดวก แต่เมื่อนกแสกปรากฏตัวขึ้น ความกลัวตายก็เข้ามาอย่างฉับพลัน ดังนั้นนกแสกไม่ได้มีอิทธิพลในการนำความสูญเสียมาให้มนุษย์ แต่ทว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เคยเตือนสติให้คนเราใช้ทุกย่างก้าวของชีวิตอย่างคุ้มค่า และประกอบกรรมดีในทุกย่างก้าวของชีวิตด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ภายในเล่มยังประกอบด้วยประเด็นเนื้อหาที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อเรื่องทางสามแพร่ง ที่ว่าเป็นทางผีผ่าน แต่ทว่าในทัศนคติของผู้เขียนมองว่าเป็นทางที่ทำให้คนเกรงกลัว เพราะลักษณะของทางอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่เกี่ยวกับภูมิผีวิญญาณแต่อย่างใด หรือว่าจะเป็นเรื่องลึกลับของ 5 มหาวิทยาลัย ที่มีการรวบรวมเรื่องราวเขย่าขวัญที่กล่าวถึงกันมากที่สุดในสถานศึกษา เรื่องเกี่ยวกับผู้ที่เล่นคุณไสย แล้วไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง สุดท้ายต้องกลายเป็นปอบชดใช้เวรกรรม

เรื่องราวเหล่านี้เป็นแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะ ภายในเล่มยังบรรจุเรื่องราวน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับการอธิบายในเชิงตรรกะ ว่าถึงแม้เรื่องที่หยิบยกขึ้นมาเสนอนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นเรื่องลี้ลับ พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ยาก แต่ทว่าถ้าเรามองตามหลักพระพุทธศาสนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะพบกับคำตอบที่ทราบต้นเหตุและรับรู้ผล มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างน่าจะเป็น โดยที่ทุกประเด็นภายในเล่มจะมีเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเขียนประกอบ ผ่านทางผู้เขียนเองหรือญาติของผู้เขียน นำมาบรรยายในภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งทุกเรื่องผู้เขียนจะสร้างคำตอบให้เราเข้าใจว่าเพราะอะไรคนถึงเชื่อแบบนั้น โดยที่ผู้เขียนไม่ได้บังคับให้ผู้อ่านเชื่อตาม แต่ทว่าเสนอทางเลือกหนึ่งในการหาคำตอบที่เราสงสัยผ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า




"เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น" เล่ม 2 ผมอ่านจบมาเกือบ 2 เดือนเห็นจะได้ คิดว่าคงไม่มีโอกาสที่จะได้ลิ้มรสอาหารรสชาติกลมกล่อมเช่นนี้อีกแล้ว แต่ทว่าวันหนึ่งสวรรค์เปิดทางให้หนอนอย่างผมได้ลิ้มรสชาติอีกครั้ง โดยที่ผมได้เล่มที่ 1 มาจากร้านหนังสือนายอินทร์ สาขาห้างสรรพสินค้ายูเนี่ยนมอล์ ผมไม่รอช้าจริงๆที่จะหยิบสตางค์ในกระเป๋าเพื่อที่จะซื้อความสุขจากการอ่านอีกครั้งโดยที่เล่มที่ 1 นี้มีการตีพิมพ์ถึง 4 ครั้ง ในระยะเวลาที่ไม่ห่างกันมาก และก็ไม่ผิดหวังเลยกับเล่มนี้ ผมประทับใจมากที่สุดคงเป็นเรื่อง ผู้หญิงคนนั้นในวัด ฟังจากชื่อเรื่องคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องสยองขวัญใช่ไหมครับ แต่เปล่าเลย ผู้เขียนกล่าวถึงผู้หญิงขายบริการ ที่มักใช้วัดเป็นที่พักผ่อนยามที่รอปฏิบัติงาน (สถานที่ 'ขาย' อยู่ติดกับวัด) เพราะเธอเหล่านั้นเชื่อว่า วัด คือสถานที่ที่ผู้คนทุกประเภท ทุกอาชีพ ทุกช่วงวัย สามารถเข้ามาเข้ามาได้ คนหนีร้อนมาพึงเย็นที่วัดได้เสมอ แต่ทว่าคนรอบข้างที่มองพวกเธอเหล่านั้นด้วยสายตารังเกียจ คิดว่าจะมาทำให้วัดเสื่อมเสีย นี้คืออีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนพยายามโยงมาตรฐานในการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันว่าเลื้อมล้ำกันขนาดไหน ผมอ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย เกิดความคิดที่ว่าอาชีพไร้เกียติแบบนั้น ถ้าไม่สิ้นไร้หนทางจริงๆ ใครบ้างที่อยากจะยกมือพร้อมประกาศให้โลกรู้ว่าเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยเยาว์ว่าเมื่อโตขึ้นแล้วอยากประกอบอาชีพแบบนี้ มีใครสักกี่คนอยากให้โลกตราหน้าว่ามีอาชีพเป็น 'ผู้หญิง(ผู้ชาย)หากิน'

หลังจากอ่านจบแบบบริบูรณ์ทั้งหมดสองเล่ม สิ่งที่ผมได้ก็คือ "สติ" ในการไตร่ตรอง พิจารณา รวมทั้งการหยุดคิดและหยุดมอง "อะไรๆ" ให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะว่าสิ่งที่เราคิดและพิจารณาแล้วอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไปก็ได้ หนังสือเล่มนี้กลมกล่อมไปด้วยเนื้อหาที่ทุกบรรทัดสอดแทรกหลักธรรมะอย่างแยบยล อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้อ่านหนังสือธรรมะที่อาจจะทำความเข้าใจยากไปสักนิด

ขอฝากหนังสือเรื่อง "เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาติเท่านั้น" ทั้งเล่ม 1 และ 2 ไว้ด้วยนะครับ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องเร้นลับ สยองขวัญ สอดแทรกคำสอนธรรมะอย่างพอดี...ต้องไม่พลาดแน่ๆ

แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเรื่องจริงที่ยังสงสัยสามารถบอกได้ชาตินี้เท่านั้น!

15 กรกฎาคม 2553

::: น่าจะเจอ..กันมาตั้งนาน :::


"เมื่อเราเจอกัน มองตาแค่ครั้งเดียว ก็ผูกพันเหมือนใกล้ชิดมานาน บอกไม่ถูกว่าทำไม หรือว่าเราจะเคยได้เจอกันชาติก่อน?"

นั่นสิครับ...บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงรู้สึกผูกพันกับกองหนังสือขนาดมหึมาซึ่งระดับความกว้างของที่จัดเก็บ และความหนักเบาของพลพรรคกระดาษที่ถูกแทนค่าว่า 'หนังสือ' ของเหล่าบรรดาเพื่อนหนอนแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน

ส่วนของผมน่ะเหรอครับ...ยังจัดได้ว่าเป็นเพียงหนอนฝึกหัด ซึ่งมีโอกาสได้ลงสนามแข่งขันประลองการอ่าน(อย่างจริงจัง)ได้เพียง 6-7 ปีเท่านั้น วัตถุดิบสำหรับการอ่านยังอยู่แค่หลักสิบปลายๆเฉียดร้อยเท่านั้น

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าที่เกริ่นนำเรื่องมาเป็นบทเพลง (ซึ่งเก่ามากสามารถบ่งบอกและตรวจสอบอายุได้เป็นอย่างดี) เพราะว่า ความรู้สึกแรกที่คิดจะนำเนื้อหาเกี่ยวกับหนังสือต่างๆที่เคยได้อ่านไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี บทวิจารณ์ มาบันทึกลงในพื้นที่ส่วนตัว...เกิดจากความคิดที่ว่าทำไมเราไม่นำเนื้อหาต่างๆเหล่านี้มาเขียนลงในไดอารี่ออนไลน์ก่อนหน้านี้ ทั้งๆที่ช่วงชีวิตหนึ่งก็เคยมีโอกาสสร้างพื้นที่ส่วนตัวทางโลกไซเบอร์ในการบันทึกเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับตนเองให้กับ 'เพื่อน' ในโลกอินเทอร์เน็ตได้รับรู้มาแล้วเหมือนกัน ความรู้สึกของคำว่า "น่าจะเจอกันมาตั้งนาน" จึงเป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นเสมือนการกดรีโมทคอนโทรเพื่อเปิดเครื่องรับสัญญาณ แล้วประจุขั้วสามารถ 'จูน' เข้าหากันได้โดยทันที

จุดเริ่มต้น...ที่ผมสามารถสะกดคำว่า "หนังสือ" และสามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ของการอ่านหนังสือแตกละประเภท เริ่มต้นขึ้นเมื่อผมเรียนในระดับมัธยมต้นครับ ก่อนหน้านี้ตามบทบาทของผมซึ่งเป็นนักเรียน (ในระดับสถานะการศึกษาต่างๆ) ซึ่งแน่นอนหน้าที่คือการเข้าเรียนและตั้งใจเรียนหนังสือ...เรียนก็เรียนเรื่อยไป ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย ไปมากกว่าการตื่นนอน 6 โมงเช้า แล้วรีบเดินทางกลับบ้านมาเพื่อรับชมการ์ตูนและละครหลังข่าว ไม่น่าแปลกใจใช่ไหมครับ ? ด้วยวุฒิภาวะขณะนั้นส่งผลถึงการแสดงออกผ่านทางพฤติกรรมซึ่งขาดการควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะ...วิถีชีวิตจึงไม่ต่างอะไรกับชาม (เช้าหนึ่งชาม เย็นหนึ่งชาม ผลผลิตที่ได้ก็คือ ชาม) งงกับตรรกะของผมไหมครับ?

หลังจาก 'เหลิง' กับสถานะการเป็น 'ชาม' มาได้พักใหญ่ อยากกลับใจปรับเปลี่ยนลองเป็นจาม ถ้วย ช้อน ดูบ้าง จึงลองเดินเข้าร้านหนังสือเปิดใหม่ในตัวตลาดของจังหวัดที่เล็กที่สุดในประเทศ หวังเพียงว่าจะได้หนังสือฝึกวิทยายุทธ์...ไม่สิมันอาจจะเกินจริงไป หวังจะได้หนังสือกลยุทธ์การเปลี่ยนชามให้เป็นจาน...เดินหาเกือบครึ่งชั่วโมง ทั้งยืน ทั้งเอื้อม ทั้งนั่ง สุดท้ายพบแต่เพียงความว่างเปล่า นี้แหละรางวัลของความพยายามแต่ไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน วันนั้นเลยเดินคอตกกลับมาพร้อมหนังสือเล่มหนา (มาก) ชื่อเรื่องว่า "ชี้ค" ประพันธ์โดย ประภัสสร เสวิกุล หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประเภทนวนิยายที่ผมเดินเข้าไปซื้อเอง (ก่อนหน้านี้ไม่ผู้เป็นแม่หรือพี่จะเป็นผู้จัดแจงหา 'ชาม' มาให้) และพบว่าหลักการที่จะเปลี่ยนชาม ให้เป็นสถานะอื่นนั้นทำได้ไม่ยาก แค่เพียงเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเรา ทุกอย่างถูกกำหนดได้ที่จิต หากจิตคิดว่าเราเป็นชาม เราก็คือชาม หากคิดว่าเราเป็นช้อน แน่นอนคงไม่ใช่ส้อม ดังนั้นผมทราบคำตอบที่ไม่น่าจะเกิดคำถามแล้วว่า...ทำไมผมถึงต้องเป็นแต่ชามมาโดยตลอด เช้าชาม เย็นชาม เพราะผมไม่เคยตั้งเป้าหมายในชีวิต คิดแค่เพียงว่าเราขอตอบสนองความสุขชั่วขณะนั้น ให้ได้ 'เสพ' ความต้องการให้เต็มปอดเป็นพอ ทว่าสภาพแวดล้อมรอบข้าง...ไม่แม้แต่หางตาจะเหลียวมอง

ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นชามอยู่นะครับ แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าผมสามารถเป็นช้อน เป็นส้อม เป็นถ้วย หรืออะไรมากมายที่ผมอยากจะเป็น เมื่อผมได้ประเมินแล้วว่าการอยากจะเป็น 'อะไร' ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือผลกระทบทางด้านลบให้กับคนรอบข้าง ผมก็จะเป็นในแบบฉบับของผม โดยเฉพาะผมมีเพื่อนแท้ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีหลายหน้า (เขาว่าคบไม่ได้) แต่ผมนี่แหละครับอยากจะสานความสัมพันธ์ของมิตรภาพอันบริสุทธ์นี้ให้ยืนยาวตราบลมหายใจสุดท้ายของผมเลยทีเดียว ...ก็ไม่ใช่เพราะ 'เพื่อน' คนนี้หรอกหรือครับที่สามารถเปลี่ยนผมจากชามตกผลึกให้เป็นสิ่งอื่นได้ตามใจปรารถนา

ขอบคุณ...นักประพันธ์ทุกคนที่กล้าคิดและฝัน
ขอบคุณ...สำนักพิมพ์ทุกแห่งที่กล้านำฝันมาเผยแพร่
ขอบคุณ...ร้านหนังสือที่เป็นศูนย์รวมการซื้อขายฝัน
ขอบคุณ...พ่อและแม่ ที่ให้กำเนิดเด็กช่างฝัน
ขอบคุณ...ความฝัน ที่ทำให้ทุกคนมีพื้นที่ในการแสดงออก

ยินดีเหลือเกินครับ...ที่มีโอกาสสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมาสำหรับแลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับเรื่องหนังสือ หวังเพียงว่า Blogger เล็กๆแห่งนี้จะยิ่งใหญ่และขยับขยายได้ด้วยความฝันของทุกคน อยากให้ทุกคนลองอ่านหนังสือดูนะครับ จะเป็นประเภทอะไรก็ได้ การ์ตูน นิตยสาร อะไรก็ได้ครับ อย่าพยายามจำกัดกรอบว่าจะต้องเป็นหนังสือเรียน หนังสือวิชาการเล่มหนาเท่าตึกใบหยกเพียงอย่างเดียว เพราะความรู้อยู่รอบๆตัวเรา แค่เพียงเหลียวหันไปมองมันสักนิด...แค่นี้คุณก็จะรู้ว่า "น่าจะเจอกันมาตั้งนานแล้ว " และสุดท้าย ปาฏิหาริย์ในชีวิตของคุณก็จะมีจริงได้ครับ

ถ้าไม่เชื่อลองเปลี่ยนชามให้เป็นช้อนดูสิครับ :)