"หากเปรียบกับชีวิตของคน เมื่อยามสุขล้นจนใจมันยั้งไม่อยู่ ก็คงเปรียบได่กับฤดู คงเป็นฤดูที่แสนสดใส ถ้าวันหนึ่งวันไหนที่ใจเจ็บจนทุกข์ ดังพายุที่โหมเข้าใส่ บอกกับตัวเองเอาไว้ ความเจ็บต้องมีวันหาย ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกฤดู อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ
ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน...ที่เฝ้ารอ"
ใช่ครับ หากว่ามนุษย์ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทุกๆย่างก้าวถูกกำกับด้วย 'สติ' เคียงข้างไปพร้อมกับ 'สัมปชัญญะ' เชื่อขนมกินได้ว่าความสงบสุขทั้งภายในจิตใจสะท้อนไปถึงร่างกาย ย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นแน่นอน แต่ทว่าโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีกฏหมายมาตราใดบัญญัติไว้ว่า มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องพกพาสติประหนึ่งดั่ง 'บัตร' แทนค่าความนึกคิด หรือการมีระเบียบวินัย นั่นจึงมีผลทำให้มนุษย์ต้องพบเจอกับ 'อุบัติเหตุ' มากระทบกระเทือนจิตใจอยู่เสมอ
ในขณะเดียวกันมีคนอีกหลายจำพวกที่รู้ว่าขณะนั้นเขาเป็นใคร จะต้องทำอะไร และต้องเตรียมพร้อมและปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ศักยภาพของชีวิตพัฒนาไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ กลุ่มคนประเภทนี้เกิดมาท่ามกลางการเปรียบเทียบ เสมือนกับเป็นกระแสไฟฟ้าขั้วประจุลบ เพื่อให้กระแสขั้วบวกดำเนินต่อไปได้ เพราะด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้กลุ่มคนดังกล่าวจำเป็นจะต้องไขว่คว้าและตะเกียกตะกายมากกว่ากลุ่มคน 'ระดับสูง'
เราต้องขอยอมรับความจริงกันอย่างแรงๆและ "ห้าม" นำ 'ทิฐิ' เข้ามาร่วมวิเคราะห์กันในบริบทนี้อย่างจริงจัง (นี่คือคำเตือน!) ว่าสังคมในปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็นหลายมาตรฐาน และสองในนั้นที่อดจะปฏิเสธไม่ได้จะต้องมีชนชั้นของคนรวยและคนจนรวมอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มคนสองประเภทดังกล่าวจำต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างช่วยไม่ได้...ร่ายมาถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านทราบถึงเจตนาของผมที่พยายามทั้งจูง ทั้งยก ทั้งลาก แม่น้ำห้าหกสายมารวมกันอยู่ใน Blog หนอนอ้วนๆแล้วใช่ไหมครับว่าเพราะอะไร...เรื่อง "การเปรียบเทียบ" อย่างไรเล่าครับ ไม่รู้ว่าพื้นฐานผมเป็นคนหัวโบราณ...วิสัยทัศน์คับแคบ(น่าแสบสัน)...หรือไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามแต่ที่มันยังทำให้ผมคิดว่า สังคมไทย ไม่รู้จะยุคหรือสมัยไหน ค่านิยมของความเป็นคนไม่เคยเท่าเทียมกันเสียที (น่าจะมีตราชั่งเพื่อวัดให้เกิดความเสถียรให้มันรู้แล้วรู้รอดไปนะครับ...ว่าไหม?) ซึ่งจะมีผู้ที่ฐานะทางการเงินขัดสนถึงขั้นอดยากสักกี่คนเชียว ที่ลุกขึ้นมา 'สู้' เพื่อยกระดับมาตรฐานของชีวิตให้ดีขึ้น ให้สมกับคำพูดอันสวยหรูที่ใครหลายคนมักประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจประมาณว่า เราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ ใช่ครับ! เราไม่สามารถเลือกเกิดได้ ไม่มีใครให้โอกาสเราใช้นิ้วจิ้มชี้ว่าอยากลงไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีร้อยล้านนะ ลูกตาสายายมี มีอาชีพเป็นชาวนา ไม่เอา...กลัวลำบาก ซึ่งมันทำได้ไหม? ก็ทำไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือ ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด...จนกระทั่งเจริญก้าวหน้า (ซึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้)
ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามดั่งภาพที่สามารถสรรค์สร้างได้เหมือนในนวนิยายของสำนักพิมพ์ต่างๆ ซึ่งนักประพันธ์สามารถบันดาลเรื่องราวผ่านแป้นพิมพ์ตามใจปรารถนา ในชีวิตจริง คนรวยอยู่แล้ว ก็เอาแต่รวย จนกลายเป็นรวยเอ๊า...รวยเอา ในขณะเดียวกัน คนจนเป็นทุนเดิมก็ต้องอยู่ในสถานภาพไม่ต่างกันคือ จนเอ๊า...จนอา นี่แหละครับความไม่สมดุลของธรรมชาติ ที่สรรค์สร้างเพื่อให้เกิดความแตกต่าง ผู้ที่สามารถแยกแยะและดำรงอยู่กับมันได้นั่นคือ "เดอะวินเนอร์" ในเกมนี้ (ซึ่งต้องค่อยๆเล่นนะครับ ระวังเดี๋ยวเกมจะ 'เออเร่อ' เสียก่อน)
คราวนี้ผมร่ายนำเรื่องเสียยาวเยี่ยงแม่น้ำไนล์ เหตุเพราะว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งผมไปพบที่ห้างสรรพสินค้าย่านสยามสแควร์และตัดสินใจซื้อโดยทันที ทั้งที่ไม่ได้เปิดคำนำหรือแม้กระทั่งพลิกไปดูปกหลังว่าเป็นอย่างไร สาเหตุเพราะชื่อเรื่องครับ ซึ่งถูกใจกระผมมากในช่วงเวลานั้น นับว่าเป็นเวลาที่สลดหดหู่ อารมณ์ไม่เบิกบานเอาเสียเลย เลยตัดสินใจแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการเดินเข้าร้านหนังสือหวังว่าจะได้อาหารรสชาติดีๆมาตอบสนองความต้องการที่ทดท้อหนอนอ้วนอย่างผม และไม่ทำให้ผิดหวังกับการตัดสินใจจริงๆ "เรื่องดีๆของผู้ชายคิดบวก" ทำให้ผมต้อง(รีบ)ควักเงินจำนวน 145 บาท ไปมอบให้กับแคชเชียร์โดยไว ก่อนที่จะกลับมาชื่นชมกับอาหารรสชาติ(น่าจะ)โอชะดังกล่าว

"เรื่องดีๆของผู้ชายคิดบวก" สรรค์สร้างโดย ยงยุทธ วรรณา เป็นหนังสือประเภทความเรียง (ประสบการณ์ชีวิต) ซึ่งถูกรวบรวมจากเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง Pantip.com ห้องไกลบ้าน เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง โดยมีการปรับแต่งชื่อตัวละครให้คงอยู่บนความเหมาะสม เนื้อเรื่องกล่าวถึงตัวละครเอกอย่าง ตัวเล็ก (ยงยุทธ วรรณา) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวนา ที่มีพี่น้องร่วมสายเลือดกว่าสิบคน แน่นอนว่าฐานะทางการเงินต้องขัดสนให้สมกับสถานะคนจนอย่างครบสูตร ผู้เป็นแม่ได้จากโลกนี้ไปตั้งแต่เขายังเล็ก ลูกชายปลายท้องอย่างเขายังโชคดีที่ยังมีโอกาสได้เรียนหนังสือ โดยมีเสาหลักต้นไม่ใหญ่นักอย่างพ่อต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูผลิตผลที่มีลมหายใจของเขาทั้งหมด แต่ทว่าความโชคร้ายยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อเสาหลักต้องพังครืนลงด้วยแรงพายุโหมกระหน่ำ ผู้เป็นพ่อได้จากเขาไปเมื่อวัยสิบขวบ จากครอบครัวที่แร้นแค้นไปด้วยเงินทองและอาหาร บ่อยครั้งที่ต้องอดมื้อกินมื้อ จึงจำเป็นต้องอดหลายมื้อกินมื้อ ผู้เป็นพี่หลายคนจำต้องจบชีวิตทางการศึกษาไว้ที่ระดับมัธยมบ้าง ประถมบ้าง เพื่อออกมาหางานทำ ส่งเสียให้น้องๆได้มีโอกาสที่ดีกว่าตน รวมถึงตัวเล็กด้วย
สิ่งที่ผมประทับใจและทึ่ง(แบบสุดๆ)ในตัวเล็กคือ สถานการณ์และสภาพแวดล้อมเหมือนจะบีบบังคับให้เขาต้องมีวิถีที่คล้ายกับคนชนบททั่วไป ชีวิตบั้นปลายของเขาโก้หรูสุดก็คงจบอยู่ที่ประกอบอาชีพชาวนา แต่ทว่าปัจจุบันเขากำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยรับบทบาทเป็นทั้งครู นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แล้วเพราะอะไรล่ะ...ที่ผู้เขียนได้รับเกียรตินั้น ก็เพราะว่าความกตัญญูและความใฝ่ดีที่ผู้เขียนมีอย่างมหาศาล ประตูแห่งโอกาสย่อมเปิดรับคนดีเสมอ
โดยก่อนที่ผู้เขียนจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างในปัจจุบัน เขาต้องผ่านมรสุมชีวิตอย่างหนัก เคยต้องไปขอญาติพักอาศัยเพื่อปลดเปลื้องภาระบางส่วนให้กับทางบ้านอีกทั้งยังหวังว่าชีวิตในอนาคตน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เคยเป็นเด็กวัดต้องอาศัยห้องเรียนซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตเป็นที่หลับนอน เคยเป็นพ่อค้าร่วมหุ้นกับเพื่อนขายอาหารประเภทตามสั่งแต่กลับถูกอันธพาลเข้าพังร้านจำต้องปิดกิจการลง นอกจากนี้ยังเคยจัดรายการวิทยุเป็นดีเจอยู่ที่วัด หรือแม้แต่เคยเป็นเด็กเสิร์ฟ เพื่อแลกกับเงินจำนวนไม่มากประทังชีวิตไปวันๆ เห็นไหมครับว่าก่อนที่ผู้เขียนจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ มีแต่คำว่า "เคย" มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง นั่นแสดงถึงความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก หวังว่าสักวันหนึ่งสถานะทางสังคมจะดีขึ้น

สิ่งที่ผมได้รับจากหนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านจบ คือ การประหยัดอดออมของตัวละครเอก มีเนื้อหาในตอนหนึ่งที่ตัวเล็กย้ายเข้ามาเรียนช่างฯในกรุงเทพฯ จำต้องเช่าหอพักเพื่ออยู่อาศัยและเงินจำนวนไม่น้อยหมดไปกับค่าจิปาถะ ซึ่งสุดท้ายเหลือเงินติดตัวอยู่เพียงจำนวน 20 บาทเท่านั้น เขาแก้ปัญหาโดยการดื่มน้ำเพื่อประทังชีวิต และพยายามอยู่นิ่งๆขยับตัวให้น้อยที่สุด (ก่อนที่จะหางานพิเศษทำ) ผมอ่านบทนี้แล้วสลดใจมากครับ มันสะท้อนไปถึงเด็กในยุคปัจจุบัน (รวมถึงผม) ซึ่งมีหน้าที่เรียนเป็นหลัก ขอเงินเป็นรอง อยากได้อะไรก็แค่แบมือ บางทียังแบไม่สุดมือของที่ต้องการก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เสมือนเสกได้เอง แต่ทว่าอีกมุมหนึ่งของสังคม เงินจำนวน 20 บาทกลับมีค่ามากมายมหาศาลสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งอาการสลดใจของผมเกิดจากพยายามแทนค่ากับตัวเองกับตัวผู้เขียนว่าหากเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเราจะทำอย่างไร เราจะทำเหมือนตัวผู้เขียนไหม...แล้วถ้าทำ ทำได้ขนาดไหน ทนรับสภาพกับความหิวได้มากน้อยเพียงใด อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดนะครับ เงินที่เป็นเศษสตางค์ที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามีมูลค่าน้อยตามขนาด แต่ทว่าหากไม่มีเหรียญสตางค์นี้ เงินจะครบจำนวน 10 บาท แล้วถ้าไม่ครบ 10 บาทแล้ว 100 บาทจะมาจากไหน ซึ่งไม่ต้องกล่าวไปถึงหลักล้าน เพราะมันขาดไปหนึ่งสตางค์ เห็นไหมครับค่าของเงินมีความหมายเพียงใด
หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นโดยภาษาที่เรียบง่าย ไม่โดดเด่นเรื่องการใช้คำ ไม่มีความน่าสนใจทางภาษา แต่ทว่ากลับจับใจผู้อ่านด้วยเนื้อเรื่องที่คัดกรองมาจากความเป็นจริง ผ่านการบอกเล่าเสมือนอยู่แนบชิดซึ่งสามารถสัมผัสได้
ต้องขอยืดอกยอมรับกันตามตรงครับว่า...ไม่ได้ตั้งใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาเพราะสาเหตุอื่นเลยนอกจากชื่อหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ทว่าหลังจากอ่านจบแล้วผลิตผลที่ได้กลับมีค่ามากกว่าชื่อเรื่องที่แสนถูกใจผมเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
อยากจะแนะนำให้กับเพื่อนๆที่รู้สึกท้อแท้ ชีวิตกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมดหวัง ให้ลุกขึ้นกลับมาสู้ใหม่อีกครั้ง เพราะในโลกใบนี้ไม่มีใครที่ทุกข์ที่สุด หรือสุขที่สุด ทุกช่วงไม่ว่าจะดีหรือร้ายสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนคละเคล้ากันไปตามผลของการกระทำที่เคยได้ทำไว้ เสมือนกับฤดูกกาลที่ผันผ่านไปตามวาระของมัน วันหนึ่งเราอาจจะเปียกปอนชุ่นชื่นไปด้วยน้ำจากพิษฤดูฝน แต่อีกไม่นานลมเย็นสบายจากฤดูร้อนก็จะพัดปัดเป่าให้เนื้อตัวเราแห้ง และอีกไม่นานลมพายุโหมกระหน่ำจากฤดูหนาวก็สามารถโถมสร้างความสั่นสะท้านมาสู่เราได้หากไม่มีการเตรียมรับมือและป้องกันให้ดี
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเราโดยทั้งสิ้นว่าเราจะสามารถดูแลตัวเองและสามารถอยู่กับมันได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าอะไรจะเกิด...มันก็ต้องเกิด ขอให้มีสติ ทุกฤดูในชีวิตของคุณคงเป็นฤดูที่แสนสดใส....คุณคิดเหมือนผมไหมครับ?
ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน...ที่เฝ้ารอ"
ใช่ครับ หากว่ามนุษย์ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทุกๆย่างก้าวถูกกำกับด้วย 'สติ' เคียงข้างไปพร้อมกับ 'สัมปชัญญะ' เชื่อขนมกินได้ว่าความสงบสุขทั้งภายในจิตใจสะท้อนไปถึงร่างกาย ย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นแน่นอน แต่ทว่าโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีกฏหมายมาตราใดบัญญัติไว้ว่า มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องพกพาสติประหนึ่งดั่ง 'บัตร' แทนค่าความนึกคิด หรือการมีระเบียบวินัย นั่นจึงมีผลทำให้มนุษย์ต้องพบเจอกับ 'อุบัติเหตุ' มากระทบกระเทือนจิตใจอยู่เสมอ
ในขณะเดียวกันมีคนอีกหลายจำพวกที่รู้ว่าขณะนั้นเขาเป็นใคร จะต้องทำอะไร และต้องเตรียมพร้อมและปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ศักยภาพของชีวิตพัฒนาไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ กลุ่มคนประเภทนี้เกิดมาท่ามกลางการเปรียบเทียบ เสมือนกับเป็นกระแสไฟฟ้าขั้วประจุลบ เพื่อให้กระแสขั้วบวกดำเนินต่อไปได้ เพราะด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้กลุ่มคนดังกล่าวจำเป็นจะต้องไขว่คว้าและตะเกียกตะกายมากกว่ากลุ่มคน 'ระดับสูง'
เราต้องขอยอมรับความจริงกันอย่างแรงๆและ "ห้าม" นำ 'ทิฐิ' เข้ามาร่วมวิเคราะห์กันในบริบทนี้อย่างจริงจัง (นี่คือคำเตือน!) ว่าสังคมในปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็นหลายมาตรฐาน และสองในนั้นที่อดจะปฏิเสธไม่ได้จะต้องมีชนชั้นของคนรวยและคนจนรวมอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มคนสองประเภทดังกล่าวจำต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างช่วยไม่ได้...ร่ายมาถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านทราบถึงเจตนาของผมที่พยายามทั้งจูง ทั้งยก ทั้งลาก แม่น้ำห้าหกสายมารวมกันอยู่ใน Blog หนอนอ้วนๆแล้วใช่ไหมครับว่าเพราะอะไร...เรื่อง "การเปรียบเทียบ" อย่างไรเล่าครับ ไม่รู้ว่าพื้นฐานผมเป็นคนหัวโบราณ...วิสัยทัศน์คับแคบ(น่าแสบสัน)...หรือไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามแต่ที่มันยังทำให้ผมคิดว่า สังคมไทย ไม่รู้จะยุคหรือสมัยไหน ค่านิยมของความเป็นคนไม่เคยเท่าเทียมกันเสียที (น่าจะมีตราชั่งเพื่อวัดให้เกิดความเสถียรให้มันรู้แล้วรู้รอดไปนะครับ...ว่าไหม?) ซึ่งจะมีผู้ที่ฐานะทางการเงินขัดสนถึงขั้นอดยากสักกี่คนเชียว ที่ลุกขึ้นมา 'สู้' เพื่อยกระดับมาตรฐานของชีวิตให้ดีขึ้น ให้สมกับคำพูดอันสวยหรูที่ใครหลายคนมักประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจประมาณว่า เราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ ใช่ครับ! เราไม่สามารถเลือกเกิดได้ ไม่มีใครให้โอกาสเราใช้นิ้วจิ้มชี้ว่าอยากลงไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีร้อยล้านนะ ลูกตาสายายมี มีอาชีพเป็นชาวนา ไม่เอา...กลัวลำบาก ซึ่งมันทำได้ไหม? ก็ทำไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือ ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด...จนกระทั่งเจริญก้าวหน้า (ซึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้)
ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามดั่งภาพที่สามารถสรรค์สร้างได้เหมือนในนวนิยายของสำนักพิมพ์ต่างๆ ซึ่งนักประพันธ์สามารถบันดาลเรื่องราวผ่านแป้นพิมพ์ตามใจปรารถนา ในชีวิตจริง คนรวยอยู่แล้ว ก็เอาแต่รวย จนกลายเป็นรวยเอ๊า...รวยเอา ในขณะเดียวกัน คนจนเป็นทุนเดิมก็ต้องอยู่ในสถานภาพไม่ต่างกันคือ จนเอ๊า...จนอา นี่แหละครับความไม่สมดุลของธรรมชาติ ที่สรรค์สร้างเพื่อให้เกิดความแตกต่าง ผู้ที่สามารถแยกแยะและดำรงอยู่กับมันได้นั่นคือ "เดอะวินเนอร์" ในเกมนี้ (ซึ่งต้องค่อยๆเล่นนะครับ ระวังเดี๋ยวเกมจะ 'เออเร่อ' เสียก่อน)
คราวนี้ผมร่ายนำเรื่องเสียยาวเยี่ยงแม่น้ำไนล์ เหตุเพราะว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งผมไปพบที่ห้างสรรพสินค้าย่านสยามสแควร์และตัดสินใจซื้อโดยทันที ทั้งที่ไม่ได้เปิดคำนำหรือแม้กระทั่งพลิกไปดูปกหลังว่าเป็นอย่างไร สาเหตุเพราะชื่อเรื่องครับ ซึ่งถูกใจกระผมมากในช่วงเวลานั้น นับว่าเป็นเวลาที่สลดหดหู่ อารมณ์ไม่เบิกบานเอาเสียเลย เลยตัดสินใจแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการเดินเข้าร้านหนังสือหวังว่าจะได้อาหารรสชาติดีๆมาตอบสนองความต้องการที่ทดท้อหนอนอ้วนอย่างผม และไม่ทำให้ผิดหวังกับการตัดสินใจจริงๆ "เรื่องดีๆของผู้ชายคิดบวก" ทำให้ผมต้อง(รีบ)ควักเงินจำนวน 145 บาท ไปมอบให้กับแคชเชียร์โดยไว ก่อนที่จะกลับมาชื่นชมกับอาหารรสชาติ(น่าจะ)โอชะดังกล่าว

"เรื่องดีๆของผู้ชายคิดบวก" สรรค์สร้างโดย ยงยุทธ วรรณา เป็นหนังสือประเภทความเรียง (ประสบการณ์ชีวิต) ซึ่งถูกรวบรวมจากเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง Pantip.com ห้องไกลบ้าน เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง โดยมีการปรับแต่งชื่อตัวละครให้คงอยู่บนความเหมาะสม เนื้อเรื่องกล่าวถึงตัวละครเอกอย่าง ตัวเล็ก (ยงยุทธ วรรณา) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวนา ที่มีพี่น้องร่วมสายเลือดกว่าสิบคน แน่นอนว่าฐานะทางการเงินต้องขัดสนให้สมกับสถานะคนจนอย่างครบสูตร ผู้เป็นแม่ได้จากโลกนี้ไปตั้งแต่เขายังเล็ก ลูกชายปลายท้องอย่างเขายังโชคดีที่ยังมีโอกาสได้เรียนหนังสือ โดยมีเสาหลักต้นไม่ใหญ่นักอย่างพ่อต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูผลิตผลที่มีลมหายใจของเขาทั้งหมด แต่ทว่าความโชคร้ายยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อเสาหลักต้องพังครืนลงด้วยแรงพายุโหมกระหน่ำ ผู้เป็นพ่อได้จากเขาไปเมื่อวัยสิบขวบ จากครอบครัวที่แร้นแค้นไปด้วยเงินทองและอาหาร บ่อยครั้งที่ต้องอดมื้อกินมื้อ จึงจำเป็นต้องอดหลายมื้อกินมื้อ ผู้เป็นพี่หลายคนจำต้องจบชีวิตทางการศึกษาไว้ที่ระดับมัธยมบ้าง ประถมบ้าง เพื่อออกมาหางานทำ ส่งเสียให้น้องๆได้มีโอกาสที่ดีกว่าตน รวมถึงตัวเล็กด้วย
สิ่งที่ผมประทับใจและทึ่ง(แบบสุดๆ)ในตัวเล็กคือ สถานการณ์และสภาพแวดล้อมเหมือนจะบีบบังคับให้เขาต้องมีวิถีที่คล้ายกับคนชนบททั่วไป ชีวิตบั้นปลายของเขาโก้หรูสุดก็คงจบอยู่ที่ประกอบอาชีพชาวนา แต่ทว่าปัจจุบันเขากำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยรับบทบาทเป็นทั้งครู นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แล้วเพราะอะไรล่ะ...ที่ผู้เขียนได้รับเกียรตินั้น ก็เพราะว่าความกตัญญูและความใฝ่ดีที่ผู้เขียนมีอย่างมหาศาล ประตูแห่งโอกาสย่อมเปิดรับคนดีเสมอ
โดยก่อนที่ผู้เขียนจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างในปัจจุบัน เขาต้องผ่านมรสุมชีวิตอย่างหนัก เคยต้องไปขอญาติพักอาศัยเพื่อปลดเปลื้องภาระบางส่วนให้กับทางบ้านอีกทั้งยังหวังว่าชีวิตในอนาคตน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เคยเป็นเด็กวัดต้องอาศัยห้องเรียนซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตเป็นที่หลับนอน เคยเป็นพ่อค้าร่วมหุ้นกับเพื่อนขายอาหารประเภทตามสั่งแต่กลับถูกอันธพาลเข้าพังร้านจำต้องปิดกิจการลง นอกจากนี้ยังเคยจัดรายการวิทยุเป็นดีเจอยู่ที่วัด หรือแม้แต่เคยเป็นเด็กเสิร์ฟ เพื่อแลกกับเงินจำนวนไม่มากประทังชีวิตไปวันๆ เห็นไหมครับว่าก่อนที่ผู้เขียนจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ มีแต่คำว่า "เคย" มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง นั่นแสดงถึงความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก หวังว่าสักวันหนึ่งสถานะทางสังคมจะดีขึ้น

สิ่งที่ผมได้รับจากหนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านจบ คือ การประหยัดอดออมของตัวละครเอก มีเนื้อหาในตอนหนึ่งที่ตัวเล็กย้ายเข้ามาเรียนช่างฯในกรุงเทพฯ จำต้องเช่าหอพักเพื่ออยู่อาศัยและเงินจำนวนไม่น้อยหมดไปกับค่าจิปาถะ ซึ่งสุดท้ายเหลือเงินติดตัวอยู่เพียงจำนวน 20 บาทเท่านั้น เขาแก้ปัญหาโดยการดื่มน้ำเพื่อประทังชีวิต และพยายามอยู่นิ่งๆขยับตัวให้น้อยที่สุด (ก่อนที่จะหางานพิเศษทำ) ผมอ่านบทนี้แล้วสลดใจมากครับ มันสะท้อนไปถึงเด็กในยุคปัจจุบัน (รวมถึงผม) ซึ่งมีหน้าที่เรียนเป็นหลัก ขอเงินเป็นรอง อยากได้อะไรก็แค่แบมือ บางทียังแบไม่สุดมือของที่ต้องการก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เสมือนเสกได้เอง แต่ทว่าอีกมุมหนึ่งของสังคม เงินจำนวน 20 บาทกลับมีค่ามากมายมหาศาลสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งอาการสลดใจของผมเกิดจากพยายามแทนค่ากับตัวเองกับตัวผู้เขียนว่าหากเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเราจะทำอย่างไร เราจะทำเหมือนตัวผู้เขียนไหม...แล้วถ้าทำ ทำได้ขนาดไหน ทนรับสภาพกับความหิวได้มากน้อยเพียงใด อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดนะครับ เงินที่เป็นเศษสตางค์ที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามีมูลค่าน้อยตามขนาด แต่ทว่าหากไม่มีเหรียญสตางค์นี้ เงินจะครบจำนวน 10 บาท แล้วถ้าไม่ครบ 10 บาทแล้ว 100 บาทจะมาจากไหน ซึ่งไม่ต้องกล่าวไปถึงหลักล้าน เพราะมันขาดไปหนึ่งสตางค์ เห็นไหมครับค่าของเงินมีความหมายเพียงใด
หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นโดยภาษาที่เรียบง่าย ไม่โดดเด่นเรื่องการใช้คำ ไม่มีความน่าสนใจทางภาษา แต่ทว่ากลับจับใจผู้อ่านด้วยเนื้อเรื่องที่คัดกรองมาจากความเป็นจริง ผ่านการบอกเล่าเสมือนอยู่แนบชิดซึ่งสามารถสัมผัสได้
ต้องขอยืดอกยอมรับกันตามตรงครับว่า...ไม่ได้ตั้งใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาเพราะสาเหตุอื่นเลยนอกจากชื่อหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ทว่าหลังจากอ่านจบแล้วผลิตผลที่ได้กลับมีค่ามากกว่าชื่อเรื่องที่แสนถูกใจผมเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
อยากจะแนะนำให้กับเพื่อนๆที่รู้สึกท้อแท้ ชีวิตกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมดหวัง ให้ลุกขึ้นกลับมาสู้ใหม่อีกครั้ง เพราะในโลกใบนี้ไม่มีใครที่ทุกข์ที่สุด หรือสุขที่สุด ทุกช่วงไม่ว่าจะดีหรือร้ายสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนคละเคล้ากันไปตามผลของการกระทำที่เคยได้ทำไว้ เสมือนกับฤดูกกาลที่ผันผ่านไปตามวาระของมัน วันหนึ่งเราอาจจะเปียกปอนชุ่นชื่นไปด้วยน้ำจากพิษฤดูฝน แต่อีกไม่นานลมเย็นสบายจากฤดูร้อนก็จะพัดปัดเป่าให้เนื้อตัวเราแห้ง และอีกไม่นานลมพายุโหมกระหน่ำจากฤดูหนาวก็สามารถโถมสร้างความสั่นสะท้านมาสู่เราได้หากไม่มีการเตรียมรับมือและป้องกันให้ดี
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเราโดยทั้งสิ้นว่าเราจะสามารถดูแลตัวเองและสามารถอยู่กับมันได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าอะไรจะเกิด...มันก็ต้องเกิด ขอให้มีสติ ทุกฤดูในชีวิตของคุณคงเป็นฤดูที่แสนสดใส....คุณคิดเหมือนผมไหมครับ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น