28 กันยายน 2553

::: ละครเล่ห์...เสน่หา :::


วันเบาๆ กับอากาศที่แสนสบาย หากมีสิ่งจูงใจที่เพิ่มอรรถรสในการใช้ชีวิต...แค่เพียงหนังสือเล่มบางๆสักเล่ม ก็น่าจะเพียงพอ

วันนี้ขอนำเสนอแบบฉบับเบาๆไม่เน้นเข้มกับนวนิยายขนาดบาง(ม๊ากมาก) เรื่อง "ละครเล่ห์...เสน่หา" สรรค์สร้างโดย "กิ่งฉัตร"

นามปากกาคุ้นหู เสมือนคนคุ้นเคย...บอกเล่าท้าวความกันนิดนะครับ นวนิยายเล่มนี้ผมซื้อมาจะครบ 8 ปี แล้วมั้ง

ถ้ายังคงจำความได้ ตอนนั้นกำลังเห่อกับการกักตุนเสบียงที่เรียกว่าหนังสือ ถ้ามีโอกาสได้เข้าห้างสรรพสินค้าเมื่อไหร่ ไม่ร้านแรกก็คงต้องเป็นร้านสุดท้ายของวันที่จะต้องชะแว๊บเข้าร้านหนังสือให้ได้...และแล้ว ละครเล่ห์...เสน่หา ก็ได้มาครอง แฮ่ๆ

แล้วทำไมถึงไม่อ่านเมื่อ 8 ปีที่แล้ว?

เป็นคำถามที่หาคำตอบยากครับ...แต่ก็ไม่ใช่จะหาไม่พบเลย อาจจะเนื่องด้วยว่าพอทราบเนื้อเรื่องย่อมาบ้างแล้ว (หลังจากซื้อ) พบว่าโครงเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือซับซ้อนแต่อย่างใดถึงแม้ว่าจะมีการจบหักมุมแบบแรงๆ ตอนท้ายเรื่อง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ถูกประพันธ์ขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ถ้านับนิ้วดูแล้วตอนที่ผู้แต่งเขียนเรื่องนี้ คงสร้างความสนใจหรือความหฤหรรษ์ให้กับเหล่าบรรดาหนอนที่นิยมเสพเรื่องหักมุม แต่ทว่ากาลเวลาเปลี่ยน...อะไรๆก็ย่อมเปลี่ยนตาม เนื้อเรื่องที่ชวนฝันให้หวือหวา กับกลายเป็นความฝันกร่อยๆ ซ้ำๆ เดิมๆ และจำเจ

เข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ นวนิยายขนาดสั้นนี้มีควายาวอยู่ประมาณ 127 หน้า ใช้เวลาผ่านเพียง 2 ชั่วโมงก็น่าจะเสร็จสิ้น แต่สำหรับหนอนท่านอื่นอาจจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ก็ได้ แล้วแต่พลังความสามารถ

เนื้อเรื่องประมาณว่า...แม่นางเอกและแม่พระเอก เป็นเพื่อนซี้แน่นปึ๊ก หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้ลูกของตนทั้งสองดองกันในฐานะสามีภรรยากันในอนาคต เรื่องดูท่าจะดีเพราะตอนเด็กก็เป็นเพื่อนรักกัน เอาใจใส่กัน ความสัมพันธ์น่าจะพัฒนาได้มากกว่าพี่น้อง แต่แล้วโชคชะตาลิขิตให้ฝ่ายชายอย่าง 'อธิคม' ต้องไปเรียนต่อเมืองนอก 'นัฏศิมา' ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยเช่นเดิม ในระยะแรกทั้งคู่ยังคงติดต่อกันผ่านจดหมาย แต่ทว่ามีเรื่องให้เข้าใจผิด จนฝ่ายหญิงแปรความสัมพันธ์ที่เคยดีกัน กลายเป็นเกลียดชังและตั้งป้อมฝ่ายชายนับแต่นั้นมา เมื่ออธิคมจบการศึกษามาจากต่างประเทศ แผนของบรรดาสองแม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นกับการจับคนทั้งค่แต่งงานกันทำพันธสัญญา แต่ด้วยความที่ฝ่ายหญิงเป็นคนหัวรั้นทำยังไงก็ไม่แต่ง จึงคิดแผนการเล่นละครโดยที่จ้างนักร้องสาวตามผับบาร์ มาอ้างตัวเป็นแฟนอธิคม เมื่อเรื่องเป็นเช่นนั้นเจ้าหล่อนจะได้ประกาศกับคนอื่นว่าฝ่ายชายมีพันธะเสียแล้ว การแต่งงานย่อมล้มเหลว แต่ทว่านางเอกจอมวางแผนกลับโดนบรรดาแม่ๆ และพระเอกตลบหลังด้วยการเล่นละครหลอกอีกทีว่าเชื่อที่พระเอกมีแฟนแล้ว ... เรื่องดูท่าว่าจะดีใช่ไหมครับ? ผมถามแบบนี้เหมือนหาเรื่องกันมาก จริงๆเรื่องนี้อ่านสนุกตามสไตล์กิ่งฉัตรครับ แต่ความสนุกมันเจือจางลงเพราะความช้าของผมเอง ถ้าผมหยิบเรื่องนี้มาอ่านสัก 8 ปีที่แล้ว คงเป็นนิยายของกิ่งฉัตรอีกเรื่องที่ผมจะรักมาก

แต่ทว่า การหักมุมที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจรังสรรค์อาจจะไม่เซอร์ไพรส์สำหรับผมสักเท่าไร

ขอย้ำอย่างแรงๆอีกครั้งนะครับว่าไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นหรือดูแคลนวนิยายเล่มนี้แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าเป็นความผิดของผมเองที่หยิบมาอ่านช้า เลยทำให้อรรถรสความสนุกมีลดน้อยลง ส่วนในแง่ภาษายังคงไว้ลายความเป็นกิ่งฉัตรเช่นเคยครับ ผมอ่านนวนิยายในปลายปากกาของกิ่งฉัตรมาหลายเรื่องครับ ไม่ว่าจะเป็น ด้วยแรงอธิษฐาน,พรายปรารถนา,ลำเนาลม,บ่วงหงส์,รอยพรหม,ตามรักคืนใจ,พรพรหมอลเวง ฯลฯ ติดใจกับภาษาที่อ่านลื่นๆไหลๆ พร้อมกับได้แง่คิดมากมายที่ผู้ประพันธ์พยายามแฝงไว้ในการดำเนินชีวิตของแต่ละตัวละคร ผมกล้าป่าวประกาศดังๆครับว่านามปากกา "กิ่งฉัตร" เป็นอีกหนึ่งนักเขียนที่ผมรักงานประพันธ์ของเธอมากครับผม...ด้วยความสัตย์จริง!

ขอฝากนวนิยายฉบับบางๆ อ่านเบาๆ ในวันสบายๆไว้ด้วยนะครับกับ "ละครเล่ห์...เสน่หา"
อ้อ..แล้วถ้าใครอ่านนวนิยายเล่มนี้จบ แล้วต้องการรับชมเป็นภาพเคลื่อนไหว สามารถหาแผ่นละครเรื่องนี้ได้นะครับ
เพราะว่าเคยถูกสร้างเป็นฉบับละครมาแล้วเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วครับผม

13 กันยายน 2553

::: เรื่องชื่นใจ :::


คุณคงเคยมีเรื่องชื่นใจในชีวิตใช่ไหมครับ ?

ไม่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบของการกระทำ ข้อความ รวมถึงเสียงเพลง

"เรื่องชื่นใจ" วรรณกรรมร่วมสมัยเล่มบางแต่อัดแน่นไปด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขที่พร้อมจะผลิบานในใจของผู้อ่านเสมอ ประพันธ์โดย อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ที่ท่านเคยสร้างปรากฏการณ์หนังสือแบบเรียนภาษาไทยยุคหนึ่ง (ซึ่งผมยังไม่เกิด) ได้ร่ำเรียนกัน

หนังสือเล่มนี้ผมขอภูมิใจนำเสนอแบบแรงๆ เพราะว่าสนุกสุดๆ

สนุกยังไง?

สนุกตรงที่เรื่องสั้นทั้งหมดกว่าสิบเรื่อง จะมีการปูเรื่องที่นำความเครียด นำปมขัดแย้งระหว่างตัวละครซึ่งกันและกัน มาเปิดเรื่อง หลังจากนั้นเรื่องจะดำเนินต่อไปตามจิ๊กซอว์ที่ได้เริ่มไว้ แต่สุดท้ายตอนจบกลับหักมุมให้กลายเป็นเรื่องชื่นใจเสียทุกเรื่องไป

ยกตัวอย่าง...

ตอน "ไอ้ตุ่น"

เรื่องเราวของมิตรภาพที่เกิดขึ้นบนความขัดแย้งของ "ทัด" เด็กบ้านนาที่มีสุนัขพันธุ์ไทยตัวไม่ใหญ่นักเลี้ยงไว้เป็นเสมือน 'เพื่อน' แต่เคราะห์ร้ายถึงร้ายที่สุด ที่รถยนต์ของ "มรุต" ขับมาด้วยความเร็วสูง หวังจะให้ถึงที่หมายโดยไว แต่มัจุราชสี่ล้อก็ได้พรากเอาลมหายใจสุดท้ายของ "ไอ้ตุ่น" เพื่อนสี่ขาของทัดไป ความเครียดแค้นกำลังเดินทางมาทักทายทัด แน่นอนว่าเขาต้องคิดแผนการเอาคืนในการกระทำของคนมักง่ายดังกล่าว แต่ทว่าเมื่อแผนการเริ่มขึ้น มรุตกลับเดินลงมาจากรถ(ของวันรุ่งขึ้น) เพื่อมาขอโทษทัดและยอมรับความผิดทุกอย่าง แม้กระทั่งเขายอมที่จะให้ทัดเรียกตัวเองว่า "ตุ่น" เพื่อที่เขาทั้งคู่จะได้เป็นเพื่อนกัน

เห็นไหมครับว่า...มันน่าชื่นใจขนาดไหน เรื่องดูท่าว่าจะจบไม่สวยเท่าไร แต่กลับแฮบปี้เอนดิ้งโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมหรือฉีดโบท๊อกซ์ แหม...คนผิดก็เล่นออกมายอมรับอย่างจริงจังพร้อมคำขอโทษ แบบนี้จะไม่ให้คนที่กำลังโกรธอยู่ชื่นใจได้ยังไงเล่าครับ

ตอน "หยินกับพลอย"

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากความทรนงตนของ "พลอย" เด็กสาวยากจน ที่ชะตาฟ้าลิขิตกลับให้มาอาศัยอยู่บ้านใกล้กับเศรษฐีอย่าง "หยิน" ซึ่งพลอยเป็นนักเรียนคนเดียวในชั้นที่ไม่ชมว่าหยินสวย หยินเก่ง และหยินรวยเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เพราะพลอยไม่ชอบใจนักที่หยินคอยโอ่ตัวเองกับเพื่อนๆเสมอ มาวันหนึ่งพลอยได้หายไปจากกิจวัตรของการเดินทางมาโรงเรียน คุณครูไหว้วานให้หยินตรวจสอบให้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลอย สุดท้ายความจริงทั้งหมดเปิดเผยว่าบ้านของพลอยกำลังประสบกับปัญหาอย่างใหญ่หลวง คุณพ่อได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่เพิ่งคลอดน้องคนเล็กไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไร มีแต่พลอยเพียงคนเดียวที่ต้องรับภาระหน้าที่ทุกอย่างทั้งหมด เพราะวิกฤตินี้เองจึงทำให้เป็นโอกาสที่ทั้งคู่หันหน้าเข้ามาคุยกัน หยินช่วยเหลือพลอยทุกอย่างในฐานะเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมชั้น ความอุ่นใจกลับมาหาพลอยอีกครั้งเมื่อแม่ของหยินรับพลอยมาเป็นบุตรสาวอีกคน พร้อมทั้งอนุญาติให้แม่ของพลอยมาเป็นแม่บ้านภายในคฤหาสน์

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมชอบและเสียน้ำตาให้มากที่สุด เพราะว่าซึ้งมากครับ การเสียสละของเด็กคนหนึ่งที่มีต่อครอบครัว มันหนักหนาและสาหัสมากสำหรับกำลังของเด็กคนหนึ่งที่ต้องรับหน้าที่ป้อนข้าวป้อนน้ำให้แม่ คอยดูแลเลี้ยงน้องด้วยน้ำข้าว เงินจะกินข้าวก็แทบจะไม่มี ต้องอดมื้อกินมื้อ และไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร (ในระยะแรก) อ่านแล้วเศร้าใจและชื่นใจไปคราวเดียวกันเลยครับ


ตอน "ผมชื่อก้อง"

"ก้อง" หรือเด็กชายก้อง มักใช้ชีวิตอยู่กับการยิงหนังสติ๊ก เขามักที่จะทำข้าวของของโรงเรียนเสียหายเสมอ โดยเฉพาะหน้าต่างห้องพักครู จนถูกคุณครูทำโทษและคุณครูย้ำว่าการยิงหนังสติ๊กไม่ใช่สิ่งผิด แต่ยิงให้ถูกที่ถูกเวลา ก้องจดจำความสอนของครูจนขึ้นใจ และวันเวลาที่ถูกที่และถูกเวลาได้มาถึง เมื่อก้องได้แอบเห็นสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อครูใหญ่กำลังตกอยู่ในอันตราย โดยที่กำลังถูกครูมิจฉาชีพซึ่งปลอมตัวมากำลังบุกเข้าทำร้าย ฮีโร่ก้องได้ยิงหนังสิ๊กถูกเบ้าตาของผู้ร้าย จึงมีผลทำให้คุณครูรอดพ้นจากสถานการณ์คับขันอย่างหงุดหงิด

เรื่องนี้อ่านเอาขำๆครับ ขำในแบบฉบับน่ารักๆ เพราะจากเด็กชายคนหนึ่งซึ่งมีความเกเรเป็นเอกลักษณ์ พอถึงเวลาพักกลางวันทีไร เป็นต้องยิงนกตกปลา แต่เพราะเป็นเด็กรักดี เชื่อฟังคำสั่งสอนของครู จึงทำให้เขาช่วยชีวิตครูใหญ่ไว้ได้


เรื่องราวที่ยกตัวอย่างมานั้นเป็นเพียงแค่บางส่วนเบาๆเท่านั้นครับ ไม่อยากบรรยายมาก เพราะจะเสียอรรถรสของการอ่านหมดครับ ขอย้ำแค่ว่าสนุกจริงๆ แต่ต้องขอสารภาพก่อนว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมาอ่านจริงๆ (ให้ตายเถอะ) แต่สถานการณ์มันบีบคั้นครับ เพราะผมกำลังต้องการจะทำบัตรสมาชิกกับร้านหนังสือร้านหนึ่ง แต่ทว่าตามกฏกติการะบุว่าจะต้องมียอดชำระค่าหนังสือถึงหนึ่งพันบาท ถึงจะสามารถทำบัตรสมาชิกได้ เหลียวซ้ายแลขวา ไม่รู้จะเอาเล่มไหนนี้ เอาวะ...เล่มนี้ก็ได้ เลยเลือกมาครับ ไม่ผิดหวังจริงๆ สนุกมากกกก (อยากจะให้มากกว่านี้เป็นร้อยเท่าแต่กลัวเนื้อที่จะไม่พอเขียนตัวอักษรกอไก่ครับ)

เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่อาจารย์รัชนี ท่านประพันธ์ไว้ตั้งแต่ปี 2511 - 2540 กินเวลายาวนานร่วมสี่สิบปีมาแล้ว แต่ทว่าความสนุกไม่ได้ลดน้อยลงเลย โดยเรื่องสั้นทั้งหมดจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัยเด็ก วันเรียนเสียทุกเรื่อง อ่านแล้วก็หวนคิดถึงอดีตและวันวานที่ผ่านเลย พฤติกรรมบางอย่างเราเองก็เคยทำและเคยประสบพบเจอมา อ่านแล้วก็เหมือนส่องกระจกครับ


วันและเวลาได้ผ่านไปแล้ว...แต่ความทรงจำยังคงอยู่
ฝากไว้กับ "เรื่องชื่นใจ" ...ขอให้จดจำความชื่นใจในวัยเด็ก...ตลอดไป

1 กันยายน 2553

::: เจ้าชายน้อย :::






"หนังสือเล่มเล็กๆ มีภาพประกอบฝีมือผู้เขียนนี้ นับเนื่องอยู่ในวรรณกรรม
ประเภทนิทานสำหรับเด็ก...และสำหรับผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน

งานประพันธ์ที่นำเสนอในท่วงทำนองผสมผสาน
ระหว่างกวีนิพนธ์ และงานแฟนตาซีโดยอิงสารัตถะ

แห่งวัฒนธรรมตะวันตกเล่มนี้มีเนื้อหาง่ายๆ

แต่แพรวพราวด้วยความคิดฝัน
เมื่ออ่านแล้วจะนำพาผู้อ่านไทยไปเผชิญปัญหาพื้นฐานไร้พรมแดน

อันได้แก่การเลือกทางเดินในชีวิต"


จากข้อความปกด้านในที่บรรยายสรรพคุณของวรรณกรรมชั้นดี ที่มาอายุครบรอบแซยิด ซึ่งสามารถอยู่ยั้งยืนยงมาได้ถึง 60 ปีเต็ม เป็นเครื่องการันตีว่าถ้าไม่เด็ดจริง แซ่บจริง คงไม่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานขนาดนี้

ขอท้าวความอย่างกระชับก่อนครับว่า ก่อนที่จะได้สัมผัสกับหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง ผมได้ตระเวณ(ขอใช้คำนี้)หาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆที่มีการล้อมวงคุยกันเรื่องหนังสือ โดยกระทู้ส่วนใหญ่ที่มักจะคลิ๊กเข้าไปอ่านคือวรรณกรรมเยาวชน และประเด็นที่มักหยิบยกขึ้นมาสนทนากันนั่นคือการร่วมโหวตว่าวรรณกรรมเล่มไหนสนุกที่สุด หรือน่าสนใจที่สุด ...ให้ตายสิครับ ไม่ว่าจะกี่เว็บไซต์หรือกี่กระทู้ วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "เจ้าชายน้อย" ย่อมมีชื่อติดโพลเสียทุกครั้ง และในทุกๆครั้งก็ได้รับคะแนนมาเป็นลำดับต้นๆเสียด้วย ต่อม 'อยาก' เริ่มทำงาน ต่อม 'เสียเงิน' เริ่มส่งสัญญาณ แล้วจะช้าอยู่ไย...ไปตามหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราดีกว่า


แต่ในควาามเป็นจริงแล้ว ผมอ่านหนังสือประเภทวรรณกรรมเยาวชนนับเรื่องได้เลยนะครับ ก่อนหน้านี้ก็ "ต้นส้มแสนรัก" ถามว่าสนุกไหม? สนุกมั้ง! ประทับใจไหม? ประทับใจมั้ง! ร้องไห้เหมือนกับคนอื่นไหม? คงร้องไห้ เพราะทั้งหมดทั้งมวล...ตูอ่านไม่รู้เรื่อง!!?!! อาจจะเป็นเพราะด้วยสำนวนภาษา การพรรณนาให้เกิดภาพพจน์ด้วยสำนวนที่แปร่งไม่มักคุ้นเท่าสำนวนของคนไทย เลยทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลงน่ะครับ เกิดเป็นกรณีศึกษาขึ้นมาแล้วหนึ่งครั้ง เราควรจะต้องระมัดระวังให้ถ้วนถี่ในการบริโภควรรณกรรมในครั้งต่อไป...อย่างที่ได้บอกครับ มีการค้นหาข้อมูลจนแน่ใจว่ามันต้องดีและต้องสนุก สุดท้ายก็ได้มาครอบครอง

หลังจากที่อ่านเรื่องนี้จบเพียงครึ่งวัน ก็พบว่ามันไม่ได้สนุกอย่างที่เราตั้งใจไว้ว่ามันจะต้องสนุกมากๆๆๆๆ แบบถึงมากที่สุด และต้องประทับใจไปอีกยาวนาน...มันไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่จะเรียกว่าผิดหวัง (ถึงขั้นบัดซบ) เลยมั้ย ก็ไม่เชิง เพราะว่าเนื้อเรื่องที่ชวนติดตามกับการเดินทางของเจ้าชายน้อยไปยังดาวดวงต่างๆ มันสร้างจินตนาการให้กับเราดีนะครับ ในส่วนของสำนวนภาษาก็อย่าที่ผมพอจะเข้าใจว่าการรับรู้ของตัวผมเองกับหนังสือแปลน่ะไม่ค่อยจะกินเส้นกันสักเท่าไร ดังนั้นอรรถรสที่ได้จากภาษาย่อมลดทอนความน่าสนใจของเนื้อเรื่องไปน่ะครับ


โดยที่เรื่อง "เจ้าชายน้อย" (Le Petit Prince) ประพันธ์และสร้างสรรค์ภาพโดย อองตวน เดอ แซงแตก-ซูเปรี และแปลโดย อำพรรณ โอตระกูล เป็นเรื่องราวของเด็กชายตัวน้อยที่มีเรื่องขุ่นใจกับดอกกุหลาบภายในอาณัติ เขาจึงใช้ความไม่เข้าใจกันนี้ เดินทางออกจากบ้านหรือดวงดาวที่อยู่อาศัย เพื่อไปหาเพื่อนจากดาวอื่นๆ จึงเป็นเหตุให้ได้พบกับผู้คนและเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้แสวงหาจุดหมายปลายทางของตัวเองว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร แต่การเดินทางไปในแต่ละสถานที่ก็เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายไม่ว่าจะไปพบเจอกับพระราชาผู้ปกครองทุกสิ่ง พบกับชายชราที่กำลังนั่งเขียนหนังสือเล่มโต หรือพบกับชายนักธุรกิจที่บริบทในชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย นี้เป็นเพียงประสบการณ์บางส่วนที่เจ้าชายน้อยพบเจอมา


ซึ่งวรรณกรรมอมตะเล่มนี้ถูกแปลขึ้นมากกว่าร้อยภาษา เป็นเครื่องการันตีถึงความสนุกสนานและอรรถรสที่เปี่ยมสุข แต่ทว่าผมอาจจะเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกตรงจุดนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวรรณกรรมเล่มนี้จะเลวร้ายหรือไม่ได้มาตรฐานที่สากลควรจะยอมรับ ทว่าของแบบนี้รสนิยมใครรสนิยมมัน ไม่สามารถนำมาตรฐานมาวัดกันได้อย่างชัดเจน แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ผมได้คือจินตนาการของเด็กตัวน้อยๆคนหนึ่งที่ช่างคิด ช่างฝัน ช่างพูด กลายเป็นนักเดินทางตัวน้อยที่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง


ถึงแม้จะไม่ปลื้มเท่าเล่มอื่น แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินแกง
หนังสือเล่มเล็กๆแต่มากไปด้วยประสบการณ์ ก็น่าที่จะลองซื้อมาอ่านเพลินๆกันดูนะครับ
ใครอยากบริโภคจินตนาการอันบรรเจิด เจ้าชายน้อยมีขาย
ขอจบสั้นๆกับรีวิวในครั้งนี้ครับ