17 สิงหาคม 2553

::: หมื่นตา ธรรมะ :::


ห่างหายจากการอัพเดทบรรดาอาหารที่หนอนอ้วนอย่างผมเคยลองลิ้มชิมรสไปเสียนาน ต้นเหตุของเรื่องเกิดจากครบรอบวันสำคัญที่สุดในชีวิตอีกวันหนึ่งของผู้ที่ได้ชื่อว่า "ลูก" ...ใช่ครับ! ผมเดินกลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อแสดงตัวตนการเป็นลูกที่ดีเนื่องในวันแม่แห่งชาติ

กลับมาคราวนี้เลยหนีบหนังสือเข้ากระเอวมาหนึ่งเล่ม เพื่อมาแนะนำให้เพื่อนหนอนของกระผมได้ลอง 'เสพ' กัน นั่นคือเรื่อง "หมื่นตา ธรรมะ" เป็นหนังสือประเภทการ์ตูน ธรรมะสอนใจ ซึ่งหนังสือประเภทนี้กำลังได้รับความนิยมจากนักอ่านกันอย่างอุ่นหนา เพราะ ในสภาพปัจจุบัน นอกจากการแข่งขันในทุกอณูของการดำเนินชีวิตแล้ว ยังมีเพื่อนใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญอย่าง "นายปัญหา" เข้ามาร่วมก๊วนกันในหลายกลุ่มชน ไม่มีการเลือกชั้นชนใดๆทั้งสิ้น สามารถเข้าไปตีซี้ตีสนิทจนกลายเป็นมายด์เฟรนกันไปโดยปริยาย (ทั้งๆที่ก็ไม่ได้อยากคบค้าสมาคมด้วย) ด้วยเหตุนี้เองผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จึงมักนิยมไขว่คว้าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจหวังเพียงเพื่อไล่เพื่อนซี้ที่ไม่รับเชิญผู้นี้ออกไปจากวงโคจรของชีวิต

โดยที่หนังสือเล่มนี้ผมซื้อมาได้ร่วมสองเดือนแล้วมั้งครับ แต่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง สาเหตุเกิดจากตรรกะที่ฟังดูไม่ค่อยสมดุล คือ ถ้ารีบอ่านเร็ว มันก็จะจบเร็ว และถ้าอ่านจบเร็ว ช่วงเวลาต่อมาก็จะไม่มีอะไรอ่าน และถ้าไม่มีอะไรอ่าน วันๆก็ท่องเป็นอยู่ประโยคเดียวคือ "อินเทอร์เน็ตๆ" เช้าก็อินเทอร์เน็ต กลางวันก็อินเทอร์เน็ต แน่นอนช่วงเวลาเย็นเหยียดถึงตีสองก็เป็นเวลาของอินเทอร์เน็ตเช่นกัน มันสามารถกระชับวงล้อมพื้นที่เวลาในชีวิตหนอนอย่างผมได้ครอบคลุมจริงๆครับ ดังนั้นช่วงที่ทรัพย์สินในชีวิตเริ่มจางหาย การเสพสิ่งพิมพ์อย่างละเลียดนี่มันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบแสนคลาสสิคจริงๆครับ (ผมนิยามมันเองนะครับ)

เริ่มร่ายออกทะเลฝั่งตะวันตื่น...มาบอกรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้กันเสียหน่อย "หมื่นตา ธรรมะ" จัดเป็นหนังสือการ์ตูนแฝงธรรมะ หมวดจิตวิทยา/พัฒนาตนเอง ประพันธ์สรรค์สร้างโดย "กะว่าก๋า" ราคาจำหน่ายเล่มละ 180 บาท จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ อะธิงก์ ซึ่งเรื่องราวของหมื่นตานี้จุดเริ่มต้นเกิดจากในโลกของ Bolg ซึ่งเจ้าของนามแฝงว่ากะว่าก๋าต้องการที่จะใช้พื้นที่ดังกล่าวบอกเล่าความรู้สึก แสดงตัวตน ผ่านภาษา เพลง ภาพถ่าย รวมถึงการ์ตูน ซึ่งมีคุณหมอท่านหนึ่งเข้ามาสร้างคำถามให้กับผู้เขียนในการค้นหาคำตอบในประเด็นเรื่องความรัก โดยที่คุณหมอท่านนั้นใช้นามแฝงว่า Dr.Manta ... Manta ... Manta ... หมื่นตา ใช่แล้วครับชื่อตัวละครหมื่นตาซึ่งถือเป็นตัวละครเอกของเรื่อง เกิดจากนามแฝงของผู้ตั้งคำถามนี่เอง กอปรกับผู้เขียนให้นิยาม ดวงตาในที่นี่ว่า การรู้จักตัวเอง โดยที่ตัวละครหมื่นตา ถึงแม้จะชื่ออลังการเสียพันเสียหมื่น แต่กลับมีดวงตาดวงเดียว ก็เพราะว่าสามารถรู้จักและเข้าใจตนเอง โดยผ่านประสบการณ์ คำสอน และการเรียนรู้

ขอร่ายประวัติของตาหมื่นตาคนนี้อย่างย่อๆย่องๆและพอเป็นกระสัย หมื่นตาจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก (จริงๆสมควรเรียกท่านว่าด๊อกเตอร์) ดีกรีเกียรตินิยมจากต่างประเทศ แน่นอนว่าความมั่นใจและอีโก้พ่วงมากับใบปริญญาที่แลกมาด้วยความชาญฉลาดของเขา คนรอบข้างในสายตาของหมื่นตาเปรียบเสมือนคนขาดโอกาส ไม่มีใครสามารถทัดเทียมเขาได้ เขาต้องเป็นที่หนึ่งเสมอและตลอดไป จนวันหนึ่งหมื่นตาเหลือญาติพี่น้องอยู่คนหนึ่ง นั่นคือ คุณตาไร้ตา ซึ่งเขาไม่เคยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเลย จึงถือโอกาสแวะไปหาท่าน ระหว่างที่นั่งดื่มน้ำชา หมื่นตาเกิดข้อกังขาว่าทำไมคุณตาไร้ตา จะต้องมาหลบเร้นตนเองในหลืบเขาเช่นนี้ ทั้งๆที่คุณตาก็มีสติปัญญาที่ดีเป็นเลิศ คุณตาให้เหตุผลว่า คนที่มีปัญญา คือคนนอบน้อม รู้ตัวว่ายังมีอะไรที่ยังไม่รู้อีกมากไม่มีใครเกิดมาแล้วจะรู้หรือชำนาญเสียทุกเรื่อง ผู้ที่อ่านหนังสือมากกว่าไม่ได้หมายความว่าต้องเก่งกว่าคนอื่นเสมอไป คุณตาไม่ได้ตอบคำถาม ทว่าถามกลับว่า เคยสงสัยบ้างไหม? ทำไมสุดยอดความรู้ในแขนงวิชาต่างๆ ที่เราเรียนมาถึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ การงาน การเงิน หรือปัญหาชีวิตของเราได้เลย จากคำถามดังกล่าวสามารถจุดแสงสว่างในความคิดของหมื่นตา เขารู้สึกสำนึกผิดที่คิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และมีความคิดที่ล้ำเลิศกว่าคนอื่นมาโดยตลอด หมื่นตาคิดที่อยากจะศึกษาหลักธรรม คุณตาจึงแนะนำให้ไปหาท่านเจ้าอาวาสที่สถานปฎิบัติธรรมพุทธคำนึงที่ไกลแสนไกล

นี้ละครับประวัติโดยย่อของนายหมื่นตาผู้ทรนงตน...อ่านมาถึงตรงนี้แล้วได้ข้อคิดมากมายนะครับ ผมชอบแนวคิดที่ว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วรู้ทุกเรื่อง แล้วเรื่องที่คิดว่ารู้ รู้จริงขนาดไหน เราอาจจะเป็นคนที่คำนวณเลขเก่งมาก พอได้รับทราบโจทย์ปุ๊บ เพียงเสี้ยววินาทีสามารถตอบได้ปั๊บ ความเก่งอัจฉริยะของเรานั้นก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเราจะต้องเป็นคนทำอาหารอร่อย สามารถสร้างบ้านเป็น หรือสามารถเย็บปักถักร้อยได้ นี่คือสัจธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม การให้เกียรติในการแสดงความคิดเห็น หรือยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น สิ่งเหล่านี้เลือนหายไปพร้อมกับอีโก้ที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาเป็นกำแพงขว้างกั้นตนเอง

นอกจากนี้ยังมีข้อคิดที่คุณตาไร้ตา สอนหมื่นตา ขอคัดลอกบางส่วนเพื่อยกตัวอย่างประกอบนะครับ

"ผู้รู้ที่แท้ คือ ผู้ที่รู้จักตัวเอง หยุดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
ย้อนมองส่องตน ดูแลความคิดของเราให้ดีที่สุด เท่านั้นเป็นพอ..."

"หมื่นตารู้มิสู้ปล่อยวาง ปล่อยวางในสิ่งที่รู้
รู้ว่าสิ่งที่รู้เป็นเพียงมายาและสิ่งสมบัติอันไม่เที่ยงแท้"

"อย่ามัวแต่คิดจะเปลี่ยนแปลงโลก โลกไม่ได้หยุดหมุนเพราะการจากไปของเรา
เราเพียงแต่เปลี่ยนความคิดที่มีกับตัวเอง เปลี่ยนให้ดีขึ้น...เมื่อนั้นตัวเราจะเปลี่ยน
ครอบครัวจะเปลี่ยน สังคมจะเปลี่ยน ในที่สุด...โลกก็จะเปลี่ยน"


นี้คือตัวอย่างเล็กน้อยที่ข้ออนุญาติคัดลอกมาประกอบนะครับ หลังจากที่หมื่นตาได้พบกับท่านเจ้าอาวาส เรื่องสนุกๆก็ได้เกิดขึ้นครับ เพราะท่านมักชอบเล่นปริศนาธรรม และกวนหมื่นตาทุกครั้งเมื่อความคิดของเขาไม่เสถียร ขอยกตัวอย่างคำสอนที่ท่านเจ้าอาวาสสอนหมื่นตาสัก 3 เรื่องนะครับ

"อยากศึกษาธรรมะให้ศึกษาจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากตัวเรา ดูให้รู้ ดูให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นที่ใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด
จะดับทุกข์นี้ได้ด้วยวิธีใด และจะทำอย่างไร มิให้ทุกข์นี้ย้อนกลับมาแว้งกัดเราได้อีก
ธรรมะ คือ ความถูกต้องเป็นไปของมันเช่นนั้นเอง สิ่งใดที่ดีงาม สิ่งนั้นคือ ธรรมะ"

"ที่สุดของการทำบุญ คือ การลดทอนความเห็นแก่ตัวในใจเรา ไม่ใช่การเพิ่มพูนความอยาก ความโลภในบุญ
การทำบุญที่แท้จริง จึงไม่ต้องหวังบุญ ไม่หวังสิ่งตอบแทนในการให้ มันต้องเป็นการเสียสละอย่างบริสุทธิ์ใจ"

"สิ่งที่ควบคุมจิต คือ "การเรียนรู้" ไม่ใช่ "การสั่งสมความรู้" "การเรียนรู้" มิได้เกิดจากการแสวงหาความรู้จากสิ่งที่อยู่นอกตัว
หากแต่เป็นการย้อนกลับมามอง "ปัญญา" เดิม ที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน"


ข้อความเหล่านี้เป็นข้อคิดเตือนใจที่ท่านเจ้าอาวาสได้สอนหมื่นตาให้รู้จักเนื้อแท้ของการใช้ชีวิตดำรงอยู่บนทางสายกลางและความดีงามเหมาะสม จริงๆอยากจะรีวิวข้อคิดหรือคำสอนมากกว่านี้ แต่เพราะหนังสือเล่มนี้อุดมไปด้วยพุทธคุณ อยากจะให้ลองซื้อมาเป็นหนังสือสามัญประจำบ้านเสียจริงๆ เพราะอ่านง่าย ภาพการ์ตูนน่ารัก เหมาะสำหรับเด็กจนกระทั่งถึงแก่ชราถ้ายังลืมตาไหวก็เหมาะสมที่จะอ่าน

สั้นๆง่ายๆ "หมื่นรู้ มิสู้ปล่อยวาง"
เช่นผม...อ่านเถอะครับ

8 สิงหาคม 2553

::: THE STAR ค้นฟ้า คว้าดาว :::

"เพื่อดาวดวงนั้น ที่ฝัน...ที่อยากเป็น
เพื่อดาวดวงนั้น แม้ฝันคงไม่ไกล
เพื่อดาวดวงนั้น ต้องสู้...จนสุดใจ จะเป็นดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า
เพื่อดาวดวงนั้น แม้ฉันต้องฝ่าฝัน
เพื่อดาวดวงนั้น ฉันจะทำให้เหนือกว่า
เพื่อดาวดวงนั้นฉันพร้อมจะไขว่คว้า
และจะทำให้โลกได้รับรู้ว่าฉันจะเป็น...ดาว"

เพลงประจำชาติของรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อดังที่มีจำนวนตัวเลขการันตีความนิยมซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรายการประกวดคนมีฝันที่ได้ทั้งกระแสและในเชิงธุรกิจสูงสุด คงไม่ต้องให้ผมสร้างคำตอบให้นะครับว่าเป็นรายการอะไร

รายการ "เดอะสตาร์ (ค้นฟ้าคว้าดาว)" เปิดตัวในเดือนตุลาคม ปี 2546 ท่ามกลางกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงฝีปากและจริตของคณะกรรมการที่ทั้ง 'กัด' ทั้ง 'จิก' และอาศัยความแรงในการคอมเม้นต์มาเป็นจุดขาย ถึงแม้บรรดา 'ท่านๆ' จะออกตัวว่าเป็นการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็กล่าวไปเช่นนั้น เป็นการติเพื่อก่อเพื่อให้บรรดาผู้เข้าแข่งขันได้รู้ว่าตนมีจุดดีและด้อยอย่างไร แต่ถึงกระนั้นกระแสของความแรงในการวิจารณ์ก็ไม่ได้มีน้อยลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นประจำรายการนี้ไปเสียแล้ว หากขาดคณะกรรมการทั้งสามท่านไปผู้ชมคงดูไปสนุกคล้ายกับทานข้าวแต่กลับไม่มีน้ำปลาพริกเคียงคู่อย่างไรอย่างนั้น

เพื่อนหนอนที่รักของผมทั้งหลาย....อย่างเพิ่งเข้าสู่ภาวะของการแปลกใจ ซึ่งอาจจะโน้มนำไปสู่อาการ 'งง' กันนะครับ ต้องขอชี้แจงก่อนว่าที่ผมหยิบยกประเด็นของรายการเรียลลิตี้โชว์ที่เพิ่งจบฤดูกาลไปหมาดๆอย่างรายการ "เดอะสตาร์" ขึ้นมาเป็นประเด็นนั้น เพราะผมมีหนังสือเล่มหนึ่งครับที่ผมได้มันมาตั้งแต่ผมยังใส่ชุดนักเรียนขาสั้น หัวเกรียน(น่าตบเล่น) อยู่เลยครับ หนังสือเล่มนี้จัดได้ว่าเป็นพ็อกเก็ตบุุ๊คส์ประเภทบันเทิง ซึ่งรวบรวมคำสัมภาษณ์จากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคณะผู้บริหาร คณะกรรมการ รวมถึงประวัติผู้เข้าแข่งขัน 8 คนสุดท้ายรุ่นที่ 1 - 2 ไว้อย่างครบถ้วน


"The Star ค้นฟ้า คว้าดาว" เล่มที่อยู่เคียงข้างกายผมมาตลอดนี้ ถูกจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ เมื่อปลายปี 2547 เรียบเรียงเรื่องราวโดย เนตรนภา แก้วแสงธรรม หนังสือเล่มนี้เคยขึ้นหิ้งหนังสือขายดี เพราะเคยเปิดตัวที่งานหนังสือแห่งชาติ มีผู้ไปรอซื้อหลายร้อยคน แน่นอนว่าผู้เข้ารอบสามคนสุดท้าย (พีท-เอ็ม-นิค) ไปร่วมแจกลายเซ็นต์ด้วย

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้...อยู่ที่นำเอา "ความจริง" มารวบรวมและตีพิมพ์ รูปภาษาที่สวยงามหรือเนื้อหาที่ชวนน่าติดตามไม่พบเห็นนัก แต่ทว่าความเป็นเรียลลิตี้กลับกินเข้าไปในหัวใจของคนมีฝันเช่นกัน...พลิกหนังสือตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย ต้องคอยหาผ้ามาซับคราบน้ำตาที่ผุดขึ้นเองตามหน้ากระดาษ...ความรู้สึกรวมถึงอารมณ์เสียใจบ้าง ดีใจบ้าง ถูกกลั่นกรองออกมาผ่านหยดน้ำตา นี่แหละคือชีวิตจริงที่ทุกคนต้องยอมรับเมื่อคิดที่จะก้าวเข้าสู่ประตูแห่งดวงดาว



ขอท้าวความอย่างไม่ยาวนัก...จุดเริ่มต้นของรายการนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณบุษบา ดาวเรือง และคุณถกลเกียรติ วีระวรรณ (เจ้าของรายการ) ได้เห็น 'วิถี' ของคนมีฝันซึ่งออกมาในรูปแบบของการอยากเป็นแดนเซอร์ อยากแสดงละครเวที เห็นคราบน้ำตาของผู้แพ้ที่ไม่สามารถเป็นตัวแทนในการตามความฝันของตนเองได้ ดังนั้นผู้บริหารดังกล่าวจึงได้มาประชุมและหารือกันว่าอยากที่จะทำรายการเพื่อหาศิลปินหน้าใหม่เพื่อมาร่วมงานกับบริษัท GMM แกรมมี่ โดยที่มีการถ่ายทอดออกอากาศตั้งแต่ตอนยื่นใบสมัคร รอบร้องเพลงปากเปล่าเพื่อโชว์น้ำเสียง รอบร้องเพลงกับเปียโน รวมถึงรอบตัดสินเพื่อหา 8 คนสุดท้าย

ย้อนกลับไป 7 ปีที่แล้ว คอนเซ็ปต์รายการประกวดร้องเพลงนี้ถือว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ให้กับรายการโทรทัศน์ เพราะยังไม่เคยมีรายการใดผลิตออกมาในรูปแบบนี้มาก่อน เพราะส่วนใหญ่ถ้าลองได้ชื่อว่าเป็นรายการประกวดร้องเพลงจะมีการคัดเลือกกันมาก่อน แล้วขึ้นร้องประกวดบนเวทีใหญ่ แล้วตัดสินแพ้ชนะหลังจากที่ผู้เข้าประกวดคนสุดท้ายทำการแสดงสิ้นสุดลง แต่ทว่ารายการ "เดอะสตาร์" เมื่อตัดสินหา 8 คนสุดท้ายได้แล้ว ยังต้องมีการแข่งขันร้องเพลงตามโจทย์ต่างๆ (ซึ่งในแต่ละฤดูกาลจะมีการเปลี่ยนแปลงกันไป) อาทิ รอบเพลงช้า รอบเพลงเร็ว รอบเพลงร็อค รอบเพลงลูกทุ่ง เป็นต้น รวมแล้ว 7-9 สัปดาห์ กว่าจะได้ผู้ที่สามารถเอาชนะใจของคนไทยทั้งประเทศได้
รายการ "เดอะสตาร์" วางคอนเซ็ปต์ไว้ว่า เป็นรายการเพื่อเฟ้นหานักร้องเพื่อเข้าสังกัด GMM แกรมมี่ ไม่ใช่รายการประกวดร้องเพลงแต่อย่างใด เพราะรางวัลอันสูงสุดที่ผู้ชนะเลิศจะได้รับคือการได้เป็นศิลปินหน้าใหม่ขององค์กรดังกล่าว อีกทั้งยังได้ออกเทปตามสไตล์ที่เหมาะสมกับตัวเองอีกด้วย ซึ่งในระยะแรกๆ (รุ่นที่ 1 - 2 ) จะมีการเฟ้นหาผู้เข้าประกวดที่เน้นเรื่องความสามารถเป็นหลัก เพราะต้องการหานักร้อง ไม่ใช่หานักแสดง จึงทำให้ผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ต้องได้ชื่อว่าเก่งจริงและมีความสามารถจริง ไม่ว่าจะเป็น สน,จิ๋ว,นิว,บิว,เอิร์น,นิค,เอ็ม,น้อง,เอ็ม,ปาล์ม,พีท,ใบเตย,อั้ส เป็นต้น

แต่ทว่าเมื่อระบบการตลาดเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางศิลป์ในการประดิษฐ์รายการ รูปแบบจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามวาระที่ควรจะเป็น ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาคือในระยะหลังผู้เข้าประกวดส่วนใหญ่จะเน้นที่หน้าตามากกว่าเสียงร้อง เพราะมีบทพิสูจน์แล้วจากรุ่นที่ 3 นั่นคือ บี้-สุกฤษ์ วิเศษแก้ว ซึ่งในขณะที่แข่งขันเขาคือจุดอ่อนในเกม มักจะโดนวิจารณ์อย่างเสียๆหายๆจากการแสดงโชว์แต่ทว่าหลังจากจบฤดูกาลเขากลับเป็นคนเดียวที่โด่งดังมากที่สุด เพราะเป็นคนหน้าตาดี มีเสน่ห์ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาในเรื่องการร้องและเต้นได้อย่างดีเยี่ยม "บี้" จึงเป็นตัดแปรสำคัญในการพลิกกลยุทธ์การเฟ้นหาผู้เข้าประกวดหน้าใหม่ในรุ่นต่อๆไปที่เน้นหน้าตาและเสน่ห์เป็นหลัก ส่วนพัฒนาการของการร้องเพลงไว้เป็นโจทย์ท้ายๆในการพิจารณา

แฟนพันธ์แท้อย่างผม...ซึ่งเคยศรัทธากับรายการปั้นดิน (จริงๆ) ให้เป็นดาวก็เกิดอาการอิดหนาระอาใจอยู่ไม่น้อยครับ เพราะเคยชื่นชมรายการนี้อย่างมหาศาลที่ไม่มีระบบเล่นเส้นและมักคัดเลือกบุคคลหน้าตาดีเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในรายการ แต่ทว่าระบบของธุรกิจก็ต้องทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่ก็เข้าใจนะครับว่าระบบการตลาดทุกวินาทีคือการแข่งขัน มัวแต่ประดิษฐ์หานักร้องที่เสียงคุณภาพ แต่ไร้เสน่ห์ใครที่ไหนอยากจะสนับสนุน...จริงไหมครับ? ซึ่งค้านกับตรรกะแรกๆที่คณะกรรมการและผู้บริหารเคยสัมภาษณ์ไว้ ผมขออนุญาติคัดลอกมาเพื่ออ่านกันนะครับ

"สคริปค์ที่ดีที่สุดในโลก คือลิขิตจากพระเจ้า ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
อารมณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นสดๆ ทั้งดี เสียใจ สมหวัง...ผิดหวัง"

-ถกลเกียรติ วีระวรรณ-

"จะมาร้องไห้มันไม่ได้ ก็ต้องอยู่ในโลกนี้ให้ได้แม้ไม่ประสบความสำเร็จ
ถ้าคุณอ่อนแอก็จงไปทำตัวเองให้เข้มแข็งแล้วมาสู้ใหม่"


และประมาณว่า (ประมวลจากคำให้สัมภาษณ์)

"ผมไม่ใช่พระเจ้าที่จะมาล่วงรู้อนาคตว่า ณ เวลานี้คุณโชว์ได้ไม่ดี
แล้วถ้าคัดคุณผ่านเข้ารอบไป คุณจะทำได้ดีมากผมตัดสินจากที่ผมเห็นวินาทีนี้"

-เพชร มาร์-

"การแข่งขันมีได้ก็ต้องมีเสีย มีแพ้มีชนะ คุณคิดว่าคุณได้อย่างเดียวเหรอ
...มงกุฎมีอันเดียวนะคะคุณ เขาไม่ได้ทำมาสิบแปดอัน ไม่อย่างนั้นก็เป็นสิบแปดมงกุฏ"

-อรนภา กฤษฎี-

"ร้องไห้ไปเถอะ แต่ขอให้ปรับปรุง เพราะถ้าคุณร้องแล้วไม่พยายามทำอะ ไรให้ดีขึ้น มันก็เป็นแค่น้ำตาที่ไหลออกมา
แล้วก็เหือดหายไป แต่ถ้านำตานั้นสามารถกลายเป็นแรงกระตุ้นให้คุณฮึดสู้เพื่อต้องการเอาชนะให้ได้ ผมจะดีใจ
และผมไม่เสียใจที่เห็นคุณร้องไห้"
-สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา-
ข้อความเหล่านี้ทั้งหมดจัดได้ว่าเป็นความคิดเห็นของผู้บริหารและคณะกรรมการที่มีต่อผู้เข้าแข่งขันรายการ ซึ่งเป็นข้อคิดที่ลึกซึ้งและให้คุณประโยชน์สำหรับผู้ที่มีฝัน...ที่อาจจะท้อแท้ในบางขณะ เหนือสิ่งอื่นใดหนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือน 'บันทึก' ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของรายการนี้ไว้ เพราะในรุ่นที่ 2 วันประกาศผลชนะเลิศ ระดับเรตติ้งความนิยมที่คนเปิดรับชมสูงกว่าละครหลัข่าวช่อง 7 สี (แชมป์ละครหลังข่าว) นั่นแสดงให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่นิยมเสพความับเทิงในหลากหลายรูปแบบและแน่นอนว่าผู้แสดงนั้นจะต้องมีความสามารถมากพอที่จะโน้มน้าวให้คนนั่งอยู่บ้านและเปิดรับชมทีวี โดยที่ภายในเล่มยังบรรจุเรื่องราวของที่มาของรายการอย่างละเอียด คำสัมภาษณ์ของผู้ชนะเลิศโครงการ 1 อย่างคุณสนทนา ชิตมณี รวมถึงรูปภาพในขณะเข้าประกวดในรุ่นที่ 1-2 มากมาย หนอนอ้วนอย่างผมไม่ทราบว่าขณะนี้ตามร้านหนังสือชั้นนำยังจะพอมีจำหน่ายอยู่หรือไม่ แต่ถ้าติดต่อผ่านสำนักพิมพ์หรือบริษัทต้นสังกัดน่าจะยังพอมีอยู่ ราคาเล่มละ 170 บาท หากเพื่อนหนอนท่านใดที่มีฝันอยากเป็นนักร้องและชื่นชอบรายการเรียลลิตี้น้ำดีรายการนี้ก็สามารถสั่งซื้อได้นะครับ

นอกจากนี้รายการ "เดอะสตาร" ยังสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพประดับวงการบันเทิงมากมายไม่ว่าจะเป็น สน , นิว-จิ๋ว , บิว จากรุ่น 1 เอ็ม , นิค , พีท , เอิร์น จากรุ่น 2 บี้ , อาร์ , มิว จากรุ่น 3 แก้ม , รุจ , ต้น , ดิว , แป้ง จากรุ่น 4 ดิว , แกรนด์ , สิงโต , กิ่ง , ฟลุค , น้ำตาล , โส จากรุ่น 5 และ กัน , ริท , โตโน่ จากรุ่นล่าสุดคือรุ่นที่ 6 รวมถึงภาพจำของพิธีกรที่มีผลพลอยได้อย่าง แฟรงค์ และเอกกี้ (อดีตศิลปินบอยแบรนด์) ก็ได้ชื่อว่าคนจดจำได้จากรายการนี้ และในเร็วๆนี้เดือนพฤศจิกายน รายการที่จะค้นทั่วฟ้าตามคว้าดาวจะกลับมาอีกครั้งในฤดูกาลที่ 7

เพราะ...เมื่อทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน ถนนของคนตะกายดาวจึงเกิดขึ้น
และจะทำให้โลกรู้...ว่าฉันจะเป็นดาว แล้วเพลงชาติประจำรายการจะกลับมาดังกู่ก้องจักรวาลอีกครั้ง
"เพื่อดาวดวงนั้น"

3 สิงหาคม 2553

::: นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวักตก :::




หากว่าครั้งหนึ่งในชีวิตคุณมีโอกาสได้รับบทเป็นนักเขียน

...เขียนหนังสือดีๆ ในสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นคุณสักเล่มหนึ่ง

คุณอยากจะใช้ชื่อหนังสือนั้นว่าอะไร ?

คิดกันออกไหมครับ...หรือว่าในชีวิตนี้ยังไม่มีความคิดที่จะอยากเป็นนักเขียน จึงทำให้ไม่สามารถตอบคำถามของผมได้

ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว...แต่ที่ครั้งนี้ผมเริ่มเปิดประเด็นมาในลักษณะนี้เพราะว่า ผมประทับใจหนังสือรวมความเรียงหวานแบบเหงาๆ เศร้าแบบอุ่นๆซึ่งมาเป็นระลอกที่สอง (เขาแทนค่าตัวเองว่าแบบนั้น) ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ a book โดยใช้ชื่อสุดหวาน แอบเท่ ว่า "นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก" ประพันธ์สรรค์สร้างโดย ทรงกลด บางยี่ขัน

ซึ่งนักประพันธ์ท่านนี้ถือว่าเป็น 'หน้าใหม่' สำหรับผม เพราะโดยส่วนใหญ่ผมจะอ่านหนังสือประเภทนวนิยาย เรื่องสั้น เป็นหลัก แต่ด้วยอารมณ์ครึมๆคล้ายกับฤดูกาลในช่วงนี้ อยากจะสัมผัสอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิม...แน่นอนว่าร้านหนังสือคือเป้าหมายสำหรับผม โดยที่หนังสือเล่มนี้ได้ชำระเงินที่ร้านหนังสือดอกหญ้า สาขาอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ก่อนเกิดเหตุจราจลประมาณ 1 เดือน) ผมไม่คิดมากเลยที่หยิบหนังสือเล่มนี้ พร้อมกับประกาศว่ากระดาษรวมเล่มที่ข้าพเจ้าถืออยู่นี้คือคำตอบสุดท้ายในวันนั้น สาเหตุเพราะชื่อเรื่องและหน้าปกที่ออกแบบได้น่ารัก น่าหยิก (โดยที่ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาภายในจะกล่าวถึงเรื่องอะไร ประมาณไหน เพราะหนังสือมีการหุ้มปกพลาสติก) ประกอบกับมีการทำแผนการตลาด Slae Promotion โดยแถมโปสการ์ดแนวเรทโทรย้อนยุค ด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ก็น่าจะเกินพอกับปริมาณเงินจำนวน 160 บาท ที่จำต้องหายไปในบัดดล

หลังจากนั้นช่วงเวลาแห่งการ 'เสพ' จึงเริ่มต้นขึ้น โดยที่เมื่ออ่านไปได้ประมาณ 1-2 บท ผมพบกับตัวอักษรภาษาไทยที่คุ้นเคยคือ "ง" และ "ง" ครับ ที่ตัวอักษรดังกล่าวพบกันโดยไม่ได้นัดหมายก็เพราะว่าเนื้อเรื่องที่ชวนทำให้ผมสงสัยว่าจะนำมาเขียนเพื่ออะไร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนักอ่านนะครับ เพราะเมื่อผู้รับสารไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่มีประสิทธิภาพแน่นอน

ผมจึงตั้งใจที่จะเป็นผู้รับสารที่ดีอีกครั้ง ซึ่งมันก็ได้ผลหลังจากที่ผมพลิกหน้ากระดาษไปเกือบครึ่งเล่ม ความเข้าใจเริ่มเข้ามาทักทายเสมือนญาติสนิทที่จากกันไปประมาณสามถึงสี่วัน พร้อมกับความสนุกสนานของพาเหรดตัวอักษรที่ค่อยๆเดินนวยนาดอย่างไม่รีบร้อน พลอยทำให้รอยยิ้มมุมปากของผมค่อยๆผุดขึ้นอย่างช้าๆ แน่นอนผมเริ่ม 'สัมผัส' กับสิ่งที่ผู้เขียนพยายามสื่อสารมาถึงผม

หนังสือเล่มนี้จุดเด่น...ที่โดดเข้ามากระแทกใจหนอนอ้วนๆอย่างผมอยู่ที่การเลือกใช้คำที่แสนวิจิตรตระการเฟี้ยวเงาะในฉบับเหนือคำบรรยาย เพราะมีการนำโวหารการพรรณาเข้ามาปรับใช้จนบังเกิดภาพเสมือนจริง จึงสามารถอนุมานได้ว่าผู้เขียนคงนำเข้าเครื่องปั่นแล้วกดความแรงสูงสุดจนภาษาที่สวยงามแทรกซึมเข้าทุกอณูของหนังสือ....ไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใดครับ ถ้าเพื่อนหนอนท่านใดเคยสัมผัสกับ 'ลีลา' ภาษาเขียนของคุณทรงกลด บางยี่ขัน จะทราบดีว่าของเขา 'เด็ดดวง' ขนาดไหน!

เริ่มต้นที่ชื่อเรื่องก่อนนะครับ โดยที่มานั้นเกิดขึ้นจากความบังเอิญที่ผู้ประพันธ์ได้มีโอกาสนั่งรถทัวร์เดินทางจากต่างหวัดเพื่อกลับสู่เมืองหลวง โดยที่ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยามเย็น ผู้ชายที่มีความคิดเหมือนลมหายใจอย่างคุณทรงกลด คงไม่พลาดที่จะจินตนาการว่าเมื่อมีทิศตะวันตกแล้ว ความเป็นไปได้ที่มีจะมีทิศตะวันตื่นจะมีมากน้อยเพียงใด...สิ่งนี้คือสมมติฐานที่ไม่ต้องการคำตอบ (เพราะคงตอบไม่ได้) แต่ทว่าชื่อ "นั่งทิศตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก" ก็ได้มาใช้เป็นชื่อคอลัมน์ในนิตยสารเล่มหนึ่งนับจากหนึ่งเดือนถัดมา

ความสนุกสนานของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การนำสิ่งเล็กๆน้อยๆ (คือมันเล็กและน้อยจริงๆนะครับ) ซึ่งหลายคนอาจจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป เพราะไม่เห็นความสำคัญอะไรที่ต้องใส่ใจอะไรมากมาย แต่ผู้ประพันธ์กลับตัดคำว่าไม่ออก แล้วนำเรื่องเหล่านั้นมาใส่ลงในใจอย่างเต็มที่ เพื่อบอกเล่าให้กับผู้อ่านผ่านตัวอักษร โดยที่คอนเซ็ปต์ในการประพันธ์ในบริบทนี้เป็นการมองโลกแบบตั้งคำถามในเชิงวิทยาศาสตาร์และโอบล้อมด้วยโลกสมมติ คือการอ้อนวอนจากจิตนาการโดยรวมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "ผีร้ายไวรัส" โดยเปิดเรื่องจากประเด็นปัญหาสุขภาพของมนุษย์ว่าเมื่อโดนแดด โดนฝนมากอาจจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย เมื่อเปิดเรื่องมาเช่นนี้เรื่องดูท่าว่าจะจบลงที่ไวรัสต่างๆที่เข้ามาขอร่างกายพักอาศัยแล้วทำลายไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ?...แต่เปล่าเลย บทนี้กล่าวถึงไวรัสต่างๆที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบอีเมล์ การปล่อยไวรัสของผู้ไม่ประสงค์ดี รวมถึงการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส เหล่านี้คือเรื่องเล็กน้อยที่ไม่คิดว่าจะมีผู้ประพันธ์ท่านใดนำมาสรรค์สร้างเป็นเรื่องราวโดยผ่านภาษาที่น่ารักน่าชัง ไม่ว่าจะเป็น "หลวงพ่อนอร์ตัน" (ชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส) หรือตอนจบลงท้ายว่าขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง(คอมพิวเตอร์)ด้วย ภาษาเหล่านี้เป็นการประดิษฐ์เพื่อให้เกิดภาพ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายอีกทั้งยังเสริมสร้างจิตนาการที่วิจิตร

แม้แต่เรื่อง "ยืดญาติ" กล่าวถึงประเพณีเช้งเม้ง เสมือนเป็นกิจกรรมรวมตัวของบรรดาลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีนมาร่วมกันทำพิธีไหว้บรรพบุรุษ โดยที่ผู้เขียนให้ทัศนะว่าแต่เดิมมีลูกหลานมาร่วมกันทำพิธีกันอย่างมากมาย ลูกตาแดงหลานยายดำมากันหมด เพราะแต่ก่อนยังอยู่ในวัยเยาว์ ภาระหน้าที่รับผิดชอบมีไม่มากนัก แต่ทว่าเวลาเปลี่ยนสิ่งต่างๆย่อมเปลี่ยนแปลง เมื่อลูกตาแดงหลานยายดำโตเข้าวัยหนุ่มสาว ข้ออ้างต่างๆเริ่มเจริญเติบโตตามไปด้วย ความสำคัญของพิธีเช้งเม้งย่อมลดน้อยลงตามวาระของแต่ละครอบครัว เมื่อการ "ยืด" ปริมาณของ "ญาติ" มีมากขึ้น พิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมของบรรดาลูกหลานย่อมมีน้อยลง นี่เป็นอีกหนึ่งบทที่ผู้เขียนพยายามเล่นคำกับชื่อเรื่อง (ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นทุกเรื่อง) นอกเหนือจากความสนุกสนานด้านภาษาประพันธ์ สิ่งที่ได้รับคือความเป็นจริงของสภาพสังคมปัจจุบัน ที่เป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น เมื่อต่างคนต่างมีครอบครัวของตนเอง ความใส่ใจในบทบาทและกน้าที่ของลูกหลานที่ดีย่อมหมดไปกับภาระการเป็นสามีและภรรยาที่ดีเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะสามารถยืดญาติที่สามารถมาร่วมงานอีกได้มากน้อยแค่ไหน...สุดที่จะพรรณา



ขอแนะนำอีกสักเรื่อง "คนที่คงที่" กล่าวถึงการคงเอกลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ทรงผม หรือเครื่องประดับของชายวัยเลยงานแซยิดมามากกว่า 10 ปีที่ผู้ประพันธ์เฝ้าแอบมองและพิจารณาในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับชามก๋วยเตี๊ยว ซึ่งแน่นอนว่าคุณลุง ผู้เป็นเป้าสายตาก็นั่งอยู่ในร้านเช่นเดียวกัน ผู้ประพันธ์พยายามสื่อว่า...แม้ว่าเข็มนาฬิกาจะเดินแซมวิ่งไปกว่าร้อยกว่าพันกิโลเมตร แต่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่หยุดเวลาไว้ด้วยความชอบของตนเอง ไม่ได้ปล่อยให้เวลากระชากความเป็นตัวของตัวเองไปตามกระแสของแฟชั่น โดยที่บทนี้ขอยกตัวอย่างข้อความจากปลายปากกาที่เลือกคำได้ 'เหลือกิน' ซะเหลือเกิน

'ธุระหลักของผมในวันนี้คือ การไปเยี่ยมเยือนหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาประจำการในอาคารเก่าแก่ย่านเกาะรัตนโกสินทร์ได้ไม่นาน ผมบริเวลาในการเดินทางไม่ดีนัก เลยโดนเวลาช่วงพักเที่ยงวิ่งปราดหน้าพรากเอาเจ้าที่ผู้เกี่ยวข้องไปจากผมต่อหน้าต่อตา นาฬิกาติดผนังยุคมิลเลเนียม และโต๊ะรับแขกยุคปี 80 ไม่เชื้อเชิญให้ผมนั่งรอ แถมยังไล่ให้ผมออกไปหาอะไรกินให้สำราญพุงให้สมกับช่วงเลา 60 นาทีทองแห่งความสุข"

นี้เป็นส่วนหนึ่งที่คัดลอกมาเพื่อการันตีความเด็ดดวงของภาษาที่อ่านแล้วแสบทรวงสุดๆ

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ความรักปลอดสารพิษ,คำสันยา,อู่สู่รู้,ความสัมพันธ์แน่นแฟ้ม,เฉยเมย,พับผ่าสิ! และสหายตัวอักษรอีกมากมาย ซึ่งผมขอการันตีได้ว่าอ่านจากชื่อเรื่องเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องแน่ว่าเนื้อเรื่องรวมถึงตอนจบจะเป็นเช่นไร เพราะนายทรงกลด บางยี่ขัน พร้อมที่จะขยี้หัวใจนักอ่านด้วยภาษาที่คมคายและเด็ดดวงจริงๆ

ผมขอสารภาพอย่างไม้บรรทัดขนาดยาว (ตรงๆ) ว่าการแนะนำหนังสือในครั้งนี้จะจำกัดปริมาณตัวอักษรให้น้อยที่สุด เพื่อที่ต้องการให้เพื่อนหนอนของกระผมทุกคนได้เสพกับความสุขของจินตนาการที่ผู้ประพันธ์พยายามรังสรรค์อย่างวิจิตรเองกันดีกว่า เพราะผมเชื่อได้แน่นอนว่าหากเพื่อนหนอนได้มีโอกาสสัมผัสกับวาระแห่งความเรียงเล่มนี้ ความรู้สึกคลั่งไคล้และอยากสมัครเป็น 'แฟนคลับ' ของนักประพันธ์ผู้ล้ำเลิศไปด้วยการสรรคำผู้นี้ตลอดไป

โดยที่นอกจากหนังสือเล่มนี้แล้ว ทรงกลด บางยี่ขัน ยังมีผลงานเรื่องอื่นๆอีก อาทิ นายเท้าซ้าย เด็กชายเท้าขวา , สองเงาในเกาหลี , ต้นไม้ใต้โลก , เมฆ , หมอก , ดอกไม้ใต้โลก ฯลฯ ซึ่งผมขอใช้เกียรติของความเป็นหนอนกล่าวหนักๆแรงๆไว้ตรงนี้เลยว่านอกจากผลงานที่กล่าวมาแล้ว ทรงกลด บางยี่ขัน ต้องมีผลงานออกมาอีกไม่ต่ำกว่า 10-20 เล่มแน่นอน เพราะเขามีจิตวิญญาณของนักประพันธ์อย่างเต็มตัว สามารถสร้างความสุขให้กับบรรดาหนอนได้อย่างเปรมปรีดิ์

เอาเป็นว่าสั้นๆง่ายๆนะครับ ผมอยากให้เพื่อนหนอนของผมมีความสุขเหมือนผมในแบบฉบับที่ไม่ต้องการคำตอบใดกับคำถามที่ว่า "นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก" หมายความว่าอะไร

บางครั้งคำตอบก็ไม่จำเป็นต้องควบคู่กับคำถามเสมอไป...คุณคิดเหมือนผมไหม?

::: เรื่องดีๆของผู้ชายคิดบวก :::



"หากเปรียบกับชีวิตของคน เมื่อยามสุขล้นจนใจมันยั้งไม่อยู่ ก็คงเปรียบได่กับฤดู คงเป็นฤดูที่แสนสดใส ถ้าวันหนึ่งวันไหนที่ใจเจ็บจนทุกข์ ดังพายุที่โหมเข้าใส่ บอกกับตัวเองเอาไว้ ความเจ็บต้องมีวันหาย ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกฤดู อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ
ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน...ที่เฝ้ารอ"



ใช่ครับ หากว่ามนุษย์ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทุกๆย่างก้าวถูกกำกับด้วย 'สติ' เคียงข้างไปพร้อมกับ 'สัมปชัญญะ' เชื่อขนมกินได้ว่าความสงบสุขทั้งภายในจิตใจสะท้อนไปถึงร่างกาย ย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นแน่นอน แต่ทว่าโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีกฏหมายมาตราใดบัญญัติไว้ว่า มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องพกพาสติประหนึ่งดั่ง 'บัตร' แทนค่าความนึกคิด หรือการมีระเบียบวินัย นั่นจึงมีผลทำให้มนุษย์ต้องพบเจอกับ 'อุบัติเหตุ' มากระทบกระเทือนจิตใจอยู่เสมอ

ในขณะเดียวกันมีคนอีกหลายจำพวกที่รู้ว่าขณะนั้นเขาเป็นใคร จะต้องทำอะไร และต้องเตรียมพร้อมและปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ศักยภาพของชีวิตพัฒนาไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ กลุ่มคนประเภทนี้เกิดมาท่ามกลางการเปรียบเทียบ เสมือนกับเป็นกระแสไฟฟ้าขั้วประจุลบ เพื่อให้กระแสขั้วบวกดำเนินต่อไปได้ เพราะด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้กลุ่มคนดังกล่าวจำเป็นจะต้องไขว่คว้าและตะเกียกตะกายมากกว่ากลุ่มคน 'ระดับสูง'

เราต้องขอยอมรับความจริงกันอย่างแรงๆและ "ห้าม" นำ 'ทิฐิ' เข้ามาร่วมวิเคราะห์กันในบริบทนี้อย่างจริงจัง (นี่คือคำเตือน!) ว่าสังคมในปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็นหลายมาตรฐาน และสองในนั้นที่อดจะปฏิเสธไม่ได้จะต้องมีชนชั้นของคนรวยและคนจนรวมอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มคนสองประเภทดังกล่าวจำต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างช่วยไม่ได้...ร่ายมาถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านทราบถึงเจตนาของผมที่พยายามทั้งจูง ทั้งยก ทั้งลาก แม่น้ำห้าหกสายมารวมกันอยู่ใน Blog หนอนอ้วนๆแล้วใช่ไหมครับว่าเพราะอะไร...เรื่อง "การเปรียบเทียบ" อย่างไรเล่าครับ ไม่รู้ว่าพื้นฐานผมเป็นคนหัวโบราณ...วิสัยทัศน์คับแคบ(น่าแสบสัน)...หรือไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามแต่ที่มันยังทำให้ผมคิดว่า สังคมไทย ไม่รู้จะยุคหรือสมัยไหน ค่านิยมของความเป็นคนไม่เคยเท่าเทียมกันเสียที (น่าจะมีตราชั่งเพื่อวัดให้เกิดความเสถียรให้มันรู้แล้วรู้รอดไปนะครับ...ว่าไหม?) ซึ่งจะมีผู้ที่ฐานะทางการเงินขัดสนถึงขั้นอดยากสักกี่คนเชียว ที่ลุกขึ้นมา 'สู้' เพื่อยกระดับมาตรฐานของชีวิตให้ดีขึ้น ให้สมกับคำพูดอันสวยหรูที่ใครหลายคนมักประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจประมาณว่า เราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ ใช่ครับ! เราไม่สามารถเลือกเกิดได้ ไม่มีใครให้โอกาสเราใช้นิ้วจิ้มชี้ว่าอยากลงไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีร้อยล้านนะ ลูกตาสายายมี มีอาชีพเป็นชาวนา ไม่เอา...กลัวลำบาก ซึ่งมันทำได้ไหม? ก็ทำไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือ ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด...จนกระทั่งเจริญก้าวหน้า (ซึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้)

ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามดั่งภาพที่สามารถสรรค์สร้างได้เหมือนในนวนิยายของสำนักพิมพ์ต่างๆ ซึ่งนักประพันธ์สามารถบันดาลเรื่องราวผ่านแป้นพิมพ์ตามใจปรารถนา ในชีวิตจริง คนรวยอยู่แล้ว ก็เอาแต่รวย จนกลายเป็นรวยเอ๊า...รวยเอา ในขณะเดียวกัน คนจนเป็นทุนเดิมก็ต้องอยู่ในสถานภาพไม่ต่างกันคือ จนเอ๊า...จนอา นี่แหละครับความไม่สมดุลของธรรมชาติ ที่สรรค์สร้างเพื่อให้เกิดความแตกต่าง ผู้ที่สามารถแยกแยะและดำรงอยู่กับมันได้นั่นคือ "เดอะวินเนอร์" ในเกมนี้ (ซึ่งต้องค่อยๆเล่นนะครับ ระวังเดี๋ยวเกมจะ 'เออเร่อ' เสียก่อน)

คราวนี้ผมร่ายนำเรื่องเสียยาวเยี่ยงแม่น้ำไนล์ เหตุเพราะว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งผมไปพบที่ห้างสรรพสินค้าย่านสยามสแควร์และตัดสินใจซื้อโดยทันที ทั้งที่ไม่ได้เปิดคำนำหรือแม้กระทั่งพลิกไปดูปกหลังว่าเป็นอย่างไร สาเหตุเพราะชื่อเรื่องครับ ซึ่งถูกใจกระผมมากในช่วงเวลานั้น นับว่าเป็นเวลาที่สลดหดหู่ อารมณ์ไม่เบิกบานเอาเสียเลย เลยตัดสินใจแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการเดินเข้าร้านหนังสือหวังว่าจะได้อาหารรสชาติดีๆมาตอบสนองความต้องการที่ทดท้อหนอนอ้วนอย่างผม และไม่ทำให้ผิดหวังกับการตัดสินใจจริงๆ "เรื่องดีๆของผู้ชายคิดบวก" ทำให้ผมต้อง(รีบ)ควักเงินจำนวน 145 บาท ไปมอบให้กับแคชเชียร์โดยไว ก่อนที่จะกลับมาชื่นชมกับอาหารรสชาติ(น่าจะ)โอชะดังกล่าว

"เรื่องดีๆของผู้ชายคิดบวก" สรรค์สร้างโดย ยงยุทธ วรรณา เป็นหนังสือประเภทความเรียง (ประสบการณ์ชีวิต) ซึ่งถูกรวบรวมจากเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง Pantip.com ห้องไกลบ้าน เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง โดยมีการปรับแต่งชื่อตัวละครให้คงอยู่บนความเหมาะสม เนื้อเรื่องกล่าวถึงตัวละครเอกอย่าง ตัวเล็ก (ยงยุทธ วรรณา) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวนา ที่มีพี่น้องร่วมสายเลือดกว่าสิบคน แน่นอนว่าฐานะทางการเงินต้องขัดสนให้สมกับสถานะคนจนอย่างครบสูตร ผู้เป็นแม่ได้จากโลกนี้ไปตั้งแต่เขายังเล็ก ลูกชายปลายท้องอย่างเขายังโชคดีที่ยังมีโอกาสได้เรียนหนังสือ โดยมีเสาหลักต้นไม่ใหญ่นักอย่างพ่อต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูผลิตผลที่มีลมหายใจของเขาทั้งหมด แต่ทว่าความโชคร้ายยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อเสาหลักต้องพังครืนลงด้วยแรงพายุโหมกระหน่ำ ผู้เป็นพ่อได้จากเขาไปเมื่อวัยสิบขวบ จากครอบครัวที่แร้นแค้นไปด้วยเงินทองและอาหาร บ่อยครั้งที่ต้องอดมื้อกินมื้อ จึงจำเป็นต้องอดหลายมื้อกินมื้อ ผู้เป็นพี่หลายคนจำต้องจบชีวิตทางการศึกษาไว้ที่ระดับมัธยมบ้าง ประถมบ้าง เพื่อออกมาหางานทำ ส่งเสียให้น้องๆได้มีโอกาสที่ดีกว่าตน รวมถึงตัวเล็กด้วย

สิ่งที่ผมประทับใจและทึ่ง(แบบสุดๆ)ในตัวเล็กคือ สถานการณ์และสภาพแวดล้อมเหมือนจะบีบบังคับให้เขาต้องมีวิถีที่คล้ายกับคนชนบททั่วไป ชีวิตบั้นปลายของเขาโก้หรูสุดก็คงจบอยู่ที่ประกอบอาชีพชาวนา แต่ทว่าปัจจุบันเขากำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยรับบทบาทเป็นทั้งครู นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แล้วเพราะอะไรล่ะ...ที่ผู้เขียนได้รับเกียรตินั้น ก็เพราะว่าความกตัญญูและความใฝ่ดีที่ผู้เขียนมีอย่างมหาศาล ประตูแห่งโอกาสย่อมเปิดรับคนดีเสมอ

โดยก่อนที่ผู้เขียนจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างในปัจจุบัน เขาต้องผ่านมรสุมชีวิตอย่างหนัก เคยต้องไปขอญาติพักอาศัยเพื่อปลดเปลื้องภาระบางส่วนให้กับทางบ้านอีกทั้งยังหวังว่าชีวิตในอนาคตน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เคยเป็นเด็กวัดต้องอาศัยห้องเรียนซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตเป็นที่หลับนอน เคยเป็นพ่อค้าร่วมหุ้นกับเพื่อนขายอาหารประเภทตามสั่งแต่กลับถูกอันธพาลเข้าพังร้านจำต้องปิดกิจการลง นอกจากนี้ยังเคยจัดรายการวิทยุเป็นดีเจอยู่ที่วัด หรือแม้แต่เคยเป็นเด็กเสิร์ฟ เพื่อแลกกับเงินจำนวนไม่มากประทังชีวิตไปวันๆ เห็นไหมครับว่าก่อนที่ผู้เขียนจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ มีแต่คำว่า "เคย" มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง นั่นแสดงถึงความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก หวังว่าสักวันหนึ่งสถานะทางสังคมจะดีขึ้น

สิ่งที่ผมได้รับจากหนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านจบ คือ การประหยัดอดออมของตัวละครเอก มีเนื้อหาในตอนหนึ่งที่ตัวเล็กย้ายเข้ามาเรียนช่างฯในกรุงเทพฯ จำต้องเช่าหอพักเพื่ออยู่อาศัยและเงินจำนวนไม่น้อยหมดไปกับค่าจิปาถะ ซึ่งสุดท้ายเหลือเงินติดตัวอยู่เพียงจำนวน 20 บาทเท่านั้น เขาแก้ปัญหาโดยการดื่มน้ำเพื่อประทังชีวิต และพยายามอยู่นิ่งๆขยับตัวให้น้อยที่สุด (ก่อนที่จะหางานพิเศษทำ) ผมอ่านบทนี้แล้วสลดใจมากครับ มันสะท้อนไปถึงเด็กในยุคปัจจุบัน (รวมถึงผม) ซึ่งมีหน้าที่เรียนเป็นหลัก ขอเงินเป็นรอง อยากได้อะไรก็แค่แบมือ บางทียังแบไม่สุดมือของที่ต้องการก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เสมือนเสกได้เอง แต่ทว่าอีกมุมหนึ่งของสังคม เงินจำนวน 20 บาทกลับมีค่ามากมายมหาศาลสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งอาการสลดใจของผมเกิดจากพยายามแทนค่ากับตัวเองกับตัวผู้เขียนว่าหากเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเราจะทำอย่างไร เราจะทำเหมือนตัวผู้เขียนไหม...แล้วถ้าทำ ทำได้ขนาดไหน ทนรับสภาพกับความหิวได้มากน้อยเพียงใด อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดนะครับ เงินที่เป็นเศษสตางค์ที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามีมูลค่าน้อยตามขนาด แต่ทว่าหากไม่มีเหรียญสตางค์นี้ เงินจะครบจำนวน 10 บาท แล้วถ้าไม่ครบ 10 บาทแล้ว 100 บาทจะมาจากไหน ซึ่งไม่ต้องกล่าวไปถึงหลักล้าน เพราะมันขาดไปหนึ่งสตางค์ เห็นไหมครับค่าของเงินมีความหมายเพียงใด

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นโดยภาษาที่เรียบง่าย ไม่โดดเด่นเรื่องการใช้คำ ไม่มีความน่าสนใจทางภาษา แต่ทว่ากลับจับใจผู้อ่านด้วยเนื้อเรื่องที่คัดกรองมาจากความเป็นจริง ผ่านการบอกเล่าเสมือนอยู่แนบชิดซึ่งสามารถสัมผัสได้

ต้องขอยืดอกยอมรับกันตามตรงครับว่า...ไม่ได้ตั้งใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาเพราะสาเหตุอื่นเลยนอกจากชื่อหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ทว่าหลังจากอ่านจบแล้วผลิตผลที่ได้กลับมีค่ามากกว่าชื่อเรื่องที่แสนถูกใจผมเป็นสิบเป็นร้อยเท่า

อยากจะแนะนำให้กับเพื่อนๆที่รู้สึกท้อแท้ ชีวิตกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมดหวัง ให้ลุกขึ้นกลับมาสู้ใหม่อีกครั้ง เพราะในโลกใบนี้ไม่มีใครที่ทุกข์ที่สุด หรือสุขที่สุด ทุกช่วงไม่ว่าจะดีหรือร้ายสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนคละเคล้ากันไปตามผลของการกระทำที่เคยได้ทำไว้ เสมือนกับฤดูกกาลที่ผันผ่านไปตามวาระของมัน วันหนึ่งเราอาจจะเปียกปอนชุ่นชื่นไปด้วยน้ำจากพิษฤดูฝน แต่อีกไม่นานลมเย็นสบายจากฤดูร้อนก็จะพัดปัดเป่าให้เนื้อตัวเราแห้ง และอีกไม่นานลมพายุโหมกระหน่ำจากฤดูหนาวก็สามารถโถมสร้างความสั่นสะท้านมาสู่เราได้หากไม่มีการเตรียมรับมือและป้องกันให้ดี

ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเราโดยทั้งสิ้นว่าเราจะสามารถดูแลตัวเองและสามารถอยู่กับมันได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าอะไรจะเกิด...มันก็ต้องเกิด ขอให้มีสติ ทุกฤดูในชีวิตของคุณคงเป็นฤดูที่แสนสดใส....คุณคิดเหมือนผมไหมครับ?

28 กรกฎาคม 2553

::: เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น :::


ผมให้คำสัญญากับเพื่อนหนอนทุกคนว่าหัวข้อเรื่อง เป็นชื่อหนังสือจริงๆ ครับ และเชื่อได้แน่นอนว่าเพื่อนหนอนบางคนอาจจะเคยผ่านทั้งหู ผ่านทั้งตา หรือแม้กระทั้งผ่านทั้งมือมาแล้วกับหนังสือเล่มนี้

ด้วยความบังเอิญหรือพรหมลิขิตก็ไม่แน่ใจ (และก็ไม่ได้ใส่ใจ) ที่ขีดให้ชะตาชีวิตหนอนตัวอ้วนๆอย่างผม ต้องเข้ามาหลบพักกายจากการเปียกปอนชุ่มไปด้วยน้ำจากพิษของฤดูฝน อีกทั้งยังต้องรีบหาพื้นที่ในการรักษาหัวใจจากพิษของความรักในร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊ค เซ็นเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต ปัญหาของการติดฝนในครั้งนี้คือการจัดสรรเวลาครับ กล่าวในทำนองนี้อาจจะคิดได้ว่าผมมีเวลาอยู่ในกำมืออยู่น้อยนิด จะใช้อย่างไรให้เกิดทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างสูงสุด...ผิดถนัดครับ เพราะ ช่วงเวลานั้นผมสามารถสะสมเวลาได้มากเท่ากับลมหายใจของคนหนึ่งคนเลยทีเดียว อยากจะแบ่งขายให้กับผู้ที่สัญจรผ่านไปละแวกนั้นเหลือเกิน แต่ทว่าทำได้ยากเพราะฝนตกหนักมาก ยากที่ภารกิจของกระผมจะดำเนินไปได้
ในเมื่อการเจราซื้อขายมีความน่าจะเป็นเท่ากับศูนย์ ทางที่ดีที่สุดที่ผมจะทำได้คือ เดิน...เดิน และเดิน เพื่อ 'เล็ง' หา 'อาหาร' ที่มีทั้งคุณประโยชน์และรสชาติที่อร่อยถูกปากหนอนอย่างผมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (มีข้อแม้เรื่องงบประมาณในการเลือกซื้ออยู่ในบริบทนี้ด้วย) หลังจากการเดินสังเกตการณ์ น่าจะล่วงเข้านาทีที่ 20 ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะซาลงแต่อย่างใด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในชีวิตผมอีกต่อไป เพราะ ผมกำลังเพลิดเพลินกับอาหารตาของบรรดาหนังสือที่มาล่อตาล่อใจผมนับสิบเล่ม และหนึ่งในนั้นมีเรื่อง "เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น" รวมอยู่ด้วยครับ หนังสือเล่มนี้จัดได้ว่าเป็นหนังสือประเภทเรื่องสั้นเชิงธรรมมะ

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือชื่อเรื่อง ที่สามารถกระตุ้นต่อมเสียเงินในร่างกายของผมแทบจะเรียกได้ว่าวินาทีแรกที่เห็นชื่อหนังสือเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้การรวมเล่มเป็นเล่มที่ 2 ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงความนิยมและความน่าเชื่อถือของกระดาษบรรจุตัวอักษรที่วางอยู่ตรงหน้า เพราะถ้าไม่ดีจริง หรือไม่ประทับใจผู้อ่านจริง คงยากที่จะมีการนำมารวมเล่มอีกเป็นเล่มที่ 2 แต่ทว่าข้อเสียที่โดดเด่นมากคือเรื่องหน้าปกหนังสือที่สุดแสนจะเชย จึงพาลคิดไปถึงการขาดจินตนาการของผู้จัดทำม๊ากมาก (จากน้ำเสียงแสดงว่ามากถึงที่สุด) แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคของหนอนหนังสืออย่างผม เพราะความรู้สึก "ถูกใจ" ได้เข้ามากัดกินพื้นที่ความกระหายของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่รอช้าเงินจำนวน 175 บาทพร้อมเดินจากผมไปอย่างโดยดี โดยไม่ลืมความรู้สึกอิ่มเอมใจกับสมาชิกเล่มใหม่ซึ่งเข้ามาแทรกกลางโดยฉับพลัน และสุดท้าย...เกิดคำถามขึ้นว่า ผมควรขอบคุณเม็ดฝนทุกเม็ดใช่ไหม (เนี้ย)

"เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น" เล่ม 2 ซึ่งถูกแต่งแต้มความฝันโดย จุติมา เนื้อหาโดยองค์รวมเกี่ยวข้องกับการแสดงทัศนคติต่อเรื่องราวต่างๆโดยที่ส่วนใหญ่จะหยิบยกประเด็นเรื่องความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม แม้กระทั่งเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นศาสตร์ซึ่งถูกถ่ายทอดความเชื่อประเภทนี้มาจากบรรพบุรุษ

ประโยคทีเด็ด (ซึ่งมัดใจหนอนอย่างผม) ของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ปกหลังโปรยว่า...

สภาวธรรมชาตินั้น ไม่มีทั้งความจริง และความไม่จริง
ถ้าความจริงเกิดขึ้น ความไม่จริงเหล่านั้นก็มีขึ้นมาตามเหตุปัจจัย
ถ้าลองศึกษาอะไรสักอย่างจนถึงที่สุดแล้ว
จะพบว่าไม่มีอะไรในนั้นเป็นแบบที่คิดเอาไว้
ความสงสัยก็เช่นเดียวกัน...พอถึงที่สุดของคำถามเหล่านั้นแล้ว...
ก็จะไม่มีคำถามใดๆนั่นเอง...


สารภาพว่านาทีแรกที่อ่านคำโปรยจบลง ในหัวสมองผมปรากฏตัวอักษรอยู่สองตัวคือ "ง" และ "ง"
ยอมรับว่าไม่เข้าใจว่าผู้เขียนต้องการสื่อสารอะไรผ่านตัวอักษรที่รับรู้ได้แค่เพียงสละสลวยด้านการใช้คำ แต่ทว่าแปลความหมายที่ผู้เขียนพยายามสื่อสารไม่ได้ แน่นอนว่าคำตอบอยู่ที่การอ่าน เมื่อขั้นตอนการอ่านได้เริ่มต้นขึ้น ความหมายของคำโปรยด้านบนเริ่มทยอยเดินเข้าแถวเพื่อให้ผม 'เช็คชื่อ' อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากอักษรความหมายตัวแรกถึงตัวสุดท้ายได้อย่างครบถ้วน พออ่านจบได้ใจความว่า...

"ความไม่รู้ของมนุษย์ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการแสวงหา 'ความจริง' ว่าตกลงแล้ว เรื่องที่กำลังเคลือบแคลงใจสงสัยอยู่นั้นบทสรุปของมันคืออะไร แล้วจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่ากระบวนการหรือขั้นตอนของการแสวงหาความจริงจึงเริ่มต้นขึ้น และเมื่อมนุษย์ได้ทราบความจริง ที่คิดว่าจริงแล้ว กระบวนการแสวงหาจึงสิ้นสุดลง ถึงแม้ว่าความจริงที่ปรากฏอาจจะไม่ใช่ความจริงที่แท้จริงก็ตาม แต่มนุษย์ต้องการแค่เพียงกระบวนการในการดับกระหายความอายากรู้เท่านั้น จึงสอดคล้องกับข้อความที่ว่า ธรรมชาตินั้นไม่มีทั้งความจริง และความไม่จริง ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับบริบทและปัจเจกชนโดยทั้งสิ้น"

ผมประทับใจสำนวนการเขียนของคุณจุติมา เธอไม่ได้เลือกสรรคำหรือภาษาที่สละสลวยอะไรมากมาย ตรงกันข้ามบางข้อความกลับพบกลิ่นอายของสไตล์การเขียนข่าวเจือปนอยู่ด้วย (คุณจุติมาเคยมีอาชีพเป็นนักข่าวมาก่อน) แต่เธอเลือกใช้คำได้เหมาะสมกับแต่ละเรื่องที่ประพันธ์ขึ้น อีกทั้งการเกริ่นนำเข้าเนื้อเรื่องยังชวนให้เกิดความน่าสนใจเกือบทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "นกแสก" ซึ่งเธอเปิดเรื่องด้วยวิถีการดำรงชีวิตของคนประเทศกัมพูชาที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนกแสกว่าเป็นนกอัปมงคล (สอดคล้องกับความเชื่อของคนไทย) ผู้คนทั่วไปไม่นิยมเลี้ยงไว้ภายใต้ชายคาเรือน เพราะมีความเชื่อว่าเป็นนกมรณะ คงพอๆกับความเชื่อดั้งเดิมที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมปลูกต้นลั่นทมไว้ภายในอาณาเขตที่พักอาศัย เพราะเชื่อว่าครอบครัวจะเกิดความระทมไปตามชื่อเรียก โดยที่เนื้อเรื่องมีการจำลองเหตุการณ์ของแม่ผู้เขียนได้เคยประสบพบเจอกับนกประเภทนี้ โดยเคยถูกนกแสกจิกตามร่างกายซึ่งยังไม่เคยไปทำอันตรายอะไรแก่มันก่อนเลย แน่นอนว่านกตัวนั้นย่อมโดนคำด่าทอเป็นการลงโทษซึ่งถือว่าน่าจะสาสม แต่ทว่าหลังจากนั้นภายในครอบครัวของผู้เขียนก็ไม่มีใครเสียชีวิตหรือได้รับอุบัติเหตุอะไร เพราะตามคำบอกเล่าที่ว่าถ้านกแสกบินมาเกาะหลังคาบ้านใครแล้วร้อง(ตามธรรมชาติของมัน) อีกสามวันเจ็ดวันจะมีคนตายเกิดขึ้น แต่ทว่านกแสกตัวนี้ผู้เขียนบรรยายให้ฟังว่ามาเกาะอยู่ใกล้กับชายคาบ้านมาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะมาจิกตีมารดาตน และหลังจากที่มันจากไปก็ไม่ปรากฏความสูญเสียขึ้นภายในบ้าน

ผู้เขียนสรุปอย่างน่าสนใจว่า ความเป็นความตาย ไม่มีใครกำหนดได้ ถึงคราวถึงวาระที่จะต้องไปถึงแม้ว่านอนกอดเสาอยู่ภายในบ้าน อย่างไรเสียก็คงหนีวัฏจักรนี้ไม่พ้น นกแสกจัดได้ว่าเป็นตัวแทนของการเตือนสติ ให้มนุษย์ทุกคนดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท เมื่อเราไม่เห็นมัน เราอาจจะละเลย อยากจะทำกรรมชั่วก็ทำตามสะดวก แต่เมื่อนกแสกปรากฏตัวขึ้น ความกลัวตายก็เข้ามาอย่างฉับพลัน ดังนั้นนกแสกไม่ได้มีอิทธิพลในการนำความสูญเสียมาให้มนุษย์ แต่ทว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เคยเตือนสติให้คนเราใช้ทุกย่างก้าวของชีวิตอย่างคุ้มค่า และประกอบกรรมดีในทุกย่างก้าวของชีวิตด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ภายในเล่มยังประกอบด้วยประเด็นเนื้อหาที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อเรื่องทางสามแพร่ง ที่ว่าเป็นทางผีผ่าน แต่ทว่าในทัศนคติของผู้เขียนมองว่าเป็นทางที่ทำให้คนเกรงกลัว เพราะลักษณะของทางอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่เกี่ยวกับภูมิผีวิญญาณแต่อย่างใด หรือว่าจะเป็นเรื่องลึกลับของ 5 มหาวิทยาลัย ที่มีการรวบรวมเรื่องราวเขย่าขวัญที่กล่าวถึงกันมากที่สุดในสถานศึกษา เรื่องเกี่ยวกับผู้ที่เล่นคุณไสย แล้วไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง สุดท้ายต้องกลายเป็นปอบชดใช้เวรกรรม

เรื่องราวเหล่านี้เป็นแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะ ภายในเล่มยังบรรจุเรื่องราวน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับการอธิบายในเชิงตรรกะ ว่าถึงแม้เรื่องที่หยิบยกขึ้นมาเสนอนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นเรื่องลี้ลับ พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ยาก แต่ทว่าถ้าเรามองตามหลักพระพุทธศาสนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะพบกับคำตอบที่ทราบต้นเหตุและรับรู้ผล มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างน่าจะเป็น โดยที่ทุกประเด็นภายในเล่มจะมีเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเขียนประกอบ ผ่านทางผู้เขียนเองหรือญาติของผู้เขียน นำมาบรรยายในภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งทุกเรื่องผู้เขียนจะสร้างคำตอบให้เราเข้าใจว่าเพราะอะไรคนถึงเชื่อแบบนั้น โดยที่ผู้เขียนไม่ได้บังคับให้ผู้อ่านเชื่อตาม แต่ทว่าเสนอทางเลือกหนึ่งในการหาคำตอบที่เราสงสัยผ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า




"เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น" เล่ม 2 ผมอ่านจบมาเกือบ 2 เดือนเห็นจะได้ คิดว่าคงไม่มีโอกาสที่จะได้ลิ้มรสอาหารรสชาติกลมกล่อมเช่นนี้อีกแล้ว แต่ทว่าวันหนึ่งสวรรค์เปิดทางให้หนอนอย่างผมได้ลิ้มรสชาติอีกครั้ง โดยที่ผมได้เล่มที่ 1 มาจากร้านหนังสือนายอินทร์ สาขาห้างสรรพสินค้ายูเนี่ยนมอล์ ผมไม่รอช้าจริงๆที่จะหยิบสตางค์ในกระเป๋าเพื่อที่จะซื้อความสุขจากการอ่านอีกครั้งโดยที่เล่มที่ 1 นี้มีการตีพิมพ์ถึง 4 ครั้ง ในระยะเวลาที่ไม่ห่างกันมาก และก็ไม่ผิดหวังเลยกับเล่มนี้ ผมประทับใจมากที่สุดคงเป็นเรื่อง ผู้หญิงคนนั้นในวัด ฟังจากชื่อเรื่องคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องสยองขวัญใช่ไหมครับ แต่เปล่าเลย ผู้เขียนกล่าวถึงผู้หญิงขายบริการ ที่มักใช้วัดเป็นที่พักผ่อนยามที่รอปฏิบัติงาน (สถานที่ 'ขาย' อยู่ติดกับวัด) เพราะเธอเหล่านั้นเชื่อว่า วัด คือสถานที่ที่ผู้คนทุกประเภท ทุกอาชีพ ทุกช่วงวัย สามารถเข้ามาเข้ามาได้ คนหนีร้อนมาพึงเย็นที่วัดได้เสมอ แต่ทว่าคนรอบข้างที่มองพวกเธอเหล่านั้นด้วยสายตารังเกียจ คิดว่าจะมาทำให้วัดเสื่อมเสีย นี้คืออีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนพยายามโยงมาตรฐานในการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันว่าเลื้อมล้ำกันขนาดไหน ผมอ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย เกิดความคิดที่ว่าอาชีพไร้เกียติแบบนั้น ถ้าไม่สิ้นไร้หนทางจริงๆ ใครบ้างที่อยากจะยกมือพร้อมประกาศให้โลกรู้ว่าเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยเยาว์ว่าเมื่อโตขึ้นแล้วอยากประกอบอาชีพแบบนี้ มีใครสักกี่คนอยากให้โลกตราหน้าว่ามีอาชีพเป็น 'ผู้หญิง(ผู้ชาย)หากิน'

หลังจากอ่านจบแบบบริบูรณ์ทั้งหมดสองเล่ม สิ่งที่ผมได้ก็คือ "สติ" ในการไตร่ตรอง พิจารณา รวมทั้งการหยุดคิดและหยุดมอง "อะไรๆ" ให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะว่าสิ่งที่เราคิดและพิจารณาแล้วอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไปก็ได้ หนังสือเล่มนี้กลมกล่อมไปด้วยเนื้อหาที่ทุกบรรทัดสอดแทรกหลักธรรมะอย่างแยบยล อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้อ่านหนังสือธรรมะที่อาจจะทำความเข้าใจยากไปสักนิด

ขอฝากหนังสือเรื่อง "เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาติเท่านั้น" ทั้งเล่ม 1 และ 2 ไว้ด้วยนะครับ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องเร้นลับ สยองขวัญ สอดแทรกคำสอนธรรมะอย่างพอดี...ต้องไม่พลาดแน่ๆ

แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเรื่องจริงที่ยังสงสัยสามารถบอกได้ชาตินี้เท่านั้น!

15 กรกฎาคม 2553

::: น่าจะเจอ..กันมาตั้งนาน :::


"เมื่อเราเจอกัน มองตาแค่ครั้งเดียว ก็ผูกพันเหมือนใกล้ชิดมานาน บอกไม่ถูกว่าทำไม หรือว่าเราจะเคยได้เจอกันชาติก่อน?"

นั่นสิครับ...บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงรู้สึกผูกพันกับกองหนังสือขนาดมหึมาซึ่งระดับความกว้างของที่จัดเก็บ และความหนักเบาของพลพรรคกระดาษที่ถูกแทนค่าว่า 'หนังสือ' ของเหล่าบรรดาเพื่อนหนอนแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน

ส่วนของผมน่ะเหรอครับ...ยังจัดได้ว่าเป็นเพียงหนอนฝึกหัด ซึ่งมีโอกาสได้ลงสนามแข่งขันประลองการอ่าน(อย่างจริงจัง)ได้เพียง 6-7 ปีเท่านั้น วัตถุดิบสำหรับการอ่านยังอยู่แค่หลักสิบปลายๆเฉียดร้อยเท่านั้น

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าที่เกริ่นนำเรื่องมาเป็นบทเพลง (ซึ่งเก่ามากสามารถบ่งบอกและตรวจสอบอายุได้เป็นอย่างดี) เพราะว่า ความรู้สึกแรกที่คิดจะนำเนื้อหาเกี่ยวกับหนังสือต่างๆที่เคยได้อ่านไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี บทวิจารณ์ มาบันทึกลงในพื้นที่ส่วนตัว...เกิดจากความคิดที่ว่าทำไมเราไม่นำเนื้อหาต่างๆเหล่านี้มาเขียนลงในไดอารี่ออนไลน์ก่อนหน้านี้ ทั้งๆที่ช่วงชีวิตหนึ่งก็เคยมีโอกาสสร้างพื้นที่ส่วนตัวทางโลกไซเบอร์ในการบันทึกเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับตนเองให้กับ 'เพื่อน' ในโลกอินเทอร์เน็ตได้รับรู้มาแล้วเหมือนกัน ความรู้สึกของคำว่า "น่าจะเจอกันมาตั้งนาน" จึงเป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นเสมือนการกดรีโมทคอนโทรเพื่อเปิดเครื่องรับสัญญาณ แล้วประจุขั้วสามารถ 'จูน' เข้าหากันได้โดยทันที

จุดเริ่มต้น...ที่ผมสามารถสะกดคำว่า "หนังสือ" และสามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ของการอ่านหนังสือแตกละประเภท เริ่มต้นขึ้นเมื่อผมเรียนในระดับมัธยมต้นครับ ก่อนหน้านี้ตามบทบาทของผมซึ่งเป็นนักเรียน (ในระดับสถานะการศึกษาต่างๆ) ซึ่งแน่นอนหน้าที่คือการเข้าเรียนและตั้งใจเรียนหนังสือ...เรียนก็เรียนเรื่อยไป ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย ไปมากกว่าการตื่นนอน 6 โมงเช้า แล้วรีบเดินทางกลับบ้านมาเพื่อรับชมการ์ตูนและละครหลังข่าว ไม่น่าแปลกใจใช่ไหมครับ ? ด้วยวุฒิภาวะขณะนั้นส่งผลถึงการแสดงออกผ่านทางพฤติกรรมซึ่งขาดการควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะ...วิถีชีวิตจึงไม่ต่างอะไรกับชาม (เช้าหนึ่งชาม เย็นหนึ่งชาม ผลผลิตที่ได้ก็คือ ชาม) งงกับตรรกะของผมไหมครับ?

หลังจาก 'เหลิง' กับสถานะการเป็น 'ชาม' มาได้พักใหญ่ อยากกลับใจปรับเปลี่ยนลองเป็นจาม ถ้วย ช้อน ดูบ้าง จึงลองเดินเข้าร้านหนังสือเปิดใหม่ในตัวตลาดของจังหวัดที่เล็กที่สุดในประเทศ หวังเพียงว่าจะได้หนังสือฝึกวิทยายุทธ์...ไม่สิมันอาจจะเกินจริงไป หวังจะได้หนังสือกลยุทธ์การเปลี่ยนชามให้เป็นจาน...เดินหาเกือบครึ่งชั่วโมง ทั้งยืน ทั้งเอื้อม ทั้งนั่ง สุดท้ายพบแต่เพียงความว่างเปล่า นี้แหละรางวัลของความพยายามแต่ไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน วันนั้นเลยเดินคอตกกลับมาพร้อมหนังสือเล่มหนา (มาก) ชื่อเรื่องว่า "ชี้ค" ประพันธ์โดย ประภัสสร เสวิกุล หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประเภทนวนิยายที่ผมเดินเข้าไปซื้อเอง (ก่อนหน้านี้ไม่ผู้เป็นแม่หรือพี่จะเป็นผู้จัดแจงหา 'ชาม' มาให้) และพบว่าหลักการที่จะเปลี่ยนชาม ให้เป็นสถานะอื่นนั้นทำได้ไม่ยาก แค่เพียงเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเรา ทุกอย่างถูกกำหนดได้ที่จิต หากจิตคิดว่าเราเป็นชาม เราก็คือชาม หากคิดว่าเราเป็นช้อน แน่นอนคงไม่ใช่ส้อม ดังนั้นผมทราบคำตอบที่ไม่น่าจะเกิดคำถามแล้วว่า...ทำไมผมถึงต้องเป็นแต่ชามมาโดยตลอด เช้าชาม เย็นชาม เพราะผมไม่เคยตั้งเป้าหมายในชีวิต คิดแค่เพียงว่าเราขอตอบสนองความสุขชั่วขณะนั้น ให้ได้ 'เสพ' ความต้องการให้เต็มปอดเป็นพอ ทว่าสภาพแวดล้อมรอบข้าง...ไม่แม้แต่หางตาจะเหลียวมอง

ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นชามอยู่นะครับ แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าผมสามารถเป็นช้อน เป็นส้อม เป็นถ้วย หรืออะไรมากมายที่ผมอยากจะเป็น เมื่อผมได้ประเมินแล้วว่าการอยากจะเป็น 'อะไร' ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือผลกระทบทางด้านลบให้กับคนรอบข้าง ผมก็จะเป็นในแบบฉบับของผม โดยเฉพาะผมมีเพื่อนแท้ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีหลายหน้า (เขาว่าคบไม่ได้) แต่ผมนี่แหละครับอยากจะสานความสัมพันธ์ของมิตรภาพอันบริสุทธ์นี้ให้ยืนยาวตราบลมหายใจสุดท้ายของผมเลยทีเดียว ...ก็ไม่ใช่เพราะ 'เพื่อน' คนนี้หรอกหรือครับที่สามารถเปลี่ยนผมจากชามตกผลึกให้เป็นสิ่งอื่นได้ตามใจปรารถนา

ขอบคุณ...นักประพันธ์ทุกคนที่กล้าคิดและฝัน
ขอบคุณ...สำนักพิมพ์ทุกแห่งที่กล้านำฝันมาเผยแพร่
ขอบคุณ...ร้านหนังสือที่เป็นศูนย์รวมการซื้อขายฝัน
ขอบคุณ...พ่อและแม่ ที่ให้กำเนิดเด็กช่างฝัน
ขอบคุณ...ความฝัน ที่ทำให้ทุกคนมีพื้นที่ในการแสดงออก

ยินดีเหลือเกินครับ...ที่มีโอกาสสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมาสำหรับแลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับเรื่องหนังสือ หวังเพียงว่า Blogger เล็กๆแห่งนี้จะยิ่งใหญ่และขยับขยายได้ด้วยความฝันของทุกคน อยากให้ทุกคนลองอ่านหนังสือดูนะครับ จะเป็นประเภทอะไรก็ได้ การ์ตูน นิตยสาร อะไรก็ได้ครับ อย่าพยายามจำกัดกรอบว่าจะต้องเป็นหนังสือเรียน หนังสือวิชาการเล่มหนาเท่าตึกใบหยกเพียงอย่างเดียว เพราะความรู้อยู่รอบๆตัวเรา แค่เพียงเหลียวหันไปมองมันสักนิด...แค่นี้คุณก็จะรู้ว่า "น่าจะเจอกันมาตั้งนานแล้ว " และสุดท้าย ปาฏิหาริย์ในชีวิตของคุณก็จะมีจริงได้ครับ

ถ้าไม่เชื่อลองเปลี่ยนชามให้เป็นช้อนดูสิครับ :)