1 ตุลาคม 2553

::: Love Analaysis (มหัศจรรย์แห่งรัก) :::


เก็บอยู่ในหัวใจของฉัน เก็บคืนวันงดงามที่มี
จดจำทุกชั่วโมงที่ดี นาที...ที่เราสองคนได้สบตากัน
เก็บอยู่ในหัวใจดวงนี้ เก็บภาพเธอคนดี...ตราบนานจนแสนนาน

วันนี้เป็นวันศุกร์....แต่ดูท่าว่าจะไม่สุขสมชื่อ ขณะนี้เป็นเวลาโดยประมาณ 21:35 น. ผู้เขียนกำลังถูกความเหงากระชับพื้นที่ โดยเริ่มต้นจากการจับหัวใจเป็นตัวประกัน พยายามดึง ฉุดกระชากและทำทุกวิถีทางให้เกิดอาการบอบช้ำ มีผลทำให้สภาพภายนอกของร่างกายพบร่องรอยของน้ำตาที่เกระกรังไปด้วยคราบแห่งความเสียใจ...
....ความทุกข์... คือสิ่งที่ "ทุกคน" ไม่ได้ปรารถนา ในขณะเดียวกัน คนหลายคนโหยหาต้องการ "ความรัก" แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวังกับผลลัพธ์ที่ตนเองต้องการ...

มันเหงาดีเหมือนกันนะครับคุณผู้อ่าน...หนอนอย่างผมใช้ชีวิตตัวคนเดียวในเมืองหลวงที่หนาแน่นไปด้วยความวุ่นวาย มาร่วมๆ 4 ปีแล้วมั้งครับ มันก็ท้าทายดีเหมือนกัน(เนอะ) ว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร เมื่อยามสุขใจ...จะกระโดดกอดคอบอกใครดี? เมื่อยามทุกข์ใจ...คงมีแต่กะละมังซักผ้าละมังที่คอยฟังผมตอนระบาย...มันเป็นโจทย์ที่ยากนะครับกับการเกิดมาเป็นมนุษย์สักชาติหนึ่ง แล้วต้องประคับประคองชีวิตตัวเองให้ถึงฝั่งของความพอใจ และความคาดหวังของบุคคลรอบข้าง...มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ



คงมีหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งมั้งครับ ที่ทำให้ผมขนลุกเป็นระยะๆ และสามารถทำให้ผมตาสว่างตอนกลางดึกได้ถึงแม้ว่าจะง่วงขนาดไหนก็ตาม หนังสือเรื่อง "Love Analaysis" หรือชื่อภาษาไทยว่า "มหัศจรรย์แห่งความรัก" เขียนโดย ท่าน ว.วชิรเมธี โดยที่อยากจะตะโกนบอกดังๆว่าเป็นโรคไม่ค่อยถูกกับหนังสือธรรมะในแบบฉบับที่จริงจังสักเท่าไรครับ เพราะคิดว่ามันสมองของตัวเองไม่ค่อยเปิดรับกับอะไรที่เป็นสาระมากนะ จะมีแค่ "หมื่นตา" ที่เป็นหนังสือธรรมะในแบบฉบับการ์ตูนที่อ่านเข้าใจง่าย เพราะผู้เขียนมีการคัดสรรภาษาให้สอดคล้องกับรูปลักษณ์ของการเป็นการ์ตูน แต่ทว่าหนังสือเล่มกลางบางกลางหนาเล่มนี้ที่ผมถืออยู่ มันดูจริงจังเกินไปไหมกับชีวิตหนอนอ้วนอมทุกข์อย่างผม...นาทีสุดท้ายกับการตัดสินใจซื้อมาเพื่อพิสูจน์ความสามารถในการเสพของตนเอง

ซึ่งคิดไม่ผิดจริงๆครับ เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก มีเนื้อเรื่องสอดแทรกเป็นตัวอย่างเพื่อสร้างภาพพจน์ตลอดทั้งเล่ม มีการออกแบบรูปเล่มอย่างสวยงามและทันสมัย มีรูปภาพประกอบที่งดงามจริงๆ ที่สำคัญเนื้อเรื่องแต่ละเรื่องที่ท่านยกมาประกอบได้ความรู้อย่างมหาศาล



โดยที่ มหัศจรรย์แห่งความรัก เล่มนี้คือบทวิเคราะห์ความรักใน 14 มิติ โดยที่เล่มหนึ่งที่ผมถืออยู่นี้ มีทั้งหมด 7 มิติ และเล่มที่สองก็อีก 7 มิติ ซึ่งแต่ละมิติก็จะมีคำคมจากนักปราชญ์ท่านต่างๆประกอบกันด้วย ไล่มาตั้งแต่มิติรักแห่งความบริสุทธิ์ที่พ่อและแม่มีให้ต่อลูก

ขอขยายความมิตินี้หน่อยนะครับ ผมได้มุมมองใหม่ๆ ที่ท่าน ว.วชิรเมธี นำเสนอ คือ สิ่งที่เราถูกถ่ายทอดและสั่งสมทางความคิดมาตั้งแต่เด็กคือว่า เราเป็นลูก เราต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นในกรณีพ่อแม่ตามใจเราหรือไม่ก็ตาม หรือท่านจะไม่เคยดูดีเราเลยก็ตาม ยังไงเราก็ต้องกตัญญู เพราะถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงสุด แต่ทว่าเมื่อมาอ่านหนังสือเล่มนี้ มุมมองของผมไม่ได้ถูกถ่ายโอนให้ผิดเพี้ยน แต่ท่านเสนอแนวคิดอีกทางหนึ่งว่า การที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีนั้นจะต้องรักลูก ส่งเสริมลูก คอยชื่นชมเมื่อลูกประสบความสำเร็จ คอยปลอบประโลมเมื่อเขาเสียใจ เราต้องรักเขามากๆ เพราะถือว่านั้นคือบุตรธิดาของเรา ในทางตรงกันข้ามหากพ่อและแม่ไม่สนใจไยดีลูกน้อย หรือวางสถานะตนเองเป็นพ่อแม่รังแกฉัน ตามใจลูกเสียเคยตัว หากวันข้างหน้าลูกทำไม่ดีกับเรา อกตัญญูแก่เรา ย่อมโทษใครไม่ได้ให้โทษตัวเราเอง....มันเป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่เดิมอยู่แล้วถูกต้องไหมครับ? มันเหมือนหลักตรรกะที่ว่าด้วยเหตุและผลของการกระทำมนุษย์ มันสามารถสะท้อนได้ทุกสถานะไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่มีต่อลูก หรือเจ้านายกับลูกน้อง เป็นต้น ถ้าเราปฏิบัติดี ทำตนให้เป็นที่รักของคนอื่น แน่นอนว่าผลิตผลที่ออกมาย่อมเป็นไปตามต้นใบสายธารที่ถือกำเนิดมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน


หรืออีกในมิติหนึ่งคือ มิติคู่รัก ท่าน ว.วชิรเมธี ท่านให้แนวคิดใหม่ๆว่าการที่เราจะเกิดมาเป็นคู่ สมรส สมรักกันได้ในชาตินี้นั้น อาจจะเกิดจากเหตุปัจจัยสองประการ ได้แก่ บุพเพสันนิวาส เป็นเรื่องของบุญกรรมในชาติปางก่อนที่เคยทำร่วมกันมาไม่ว่าจะเป็นสถานะ สามีภรรยา ญาติพี่น้อง รวมถึงพ่อแม่ลูก ที่มีดวงจิตผูกพันกันและมีบุญกรรมติดพันกันมา จนทำให้ชาตินี้ได้มาครองคู่เพื่อเกื้อหนุนและอาจจะทำลายล้างกัน แต่ละบริบทต้องขึ้นอยู่กับปริมาณความดี ความเลวที่ได้ก่อขึ้นมาร่วมกัน และอีกสาเหตุหนึ่งที่เราจะพบเนื้อคู่คือ การเกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ข้อหลังนี้เป็นสมมติฐานที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ การช่วยเหลือจุนเจือ การเห็นอกเห็นใจกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมห้อง จนสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กันจนกลายเป็นความรัก และจบลงที่การใช้ชีวิตคู่ในที่สุด เหล่านี้เป็นเนื้อหาเพียงส่วนเล็กๆเท่านั้นที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ

โดยที่ความรักในหลากหลายรูปแบบที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้สอนเพื่อให้เชื่อ ไม่ได้ชักจูงให้งมงาย แต่ในทางตรงกันข้ามกลับพยายามอธิบายถึงต้นเหตุของปัญหา ว่าเพราะอะไรปลายเหตุที่เกิดขึ้นถึงเป็นเช่นนี้ อ่านแล้วได้ข้อคิดมากมายครับ


ผมในฐานะหนอนหนังสือคนหนึ่งอยากจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้คล้ายกับกระจกที่สะท้อนความเป็นจริงที่เราหลงลืม ที่เราพยายามจะหลงลืม และที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีเหตุปัจจัยนี้อยู่ในสังคมนี้ด้วยหรือ หรือสุดท้ายปัญหาทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากตัวเราเอง...เพราะ คำว่า "ความรัก" คำเพียงไม่กี่พยางค์ที่แต่ละคนพยายามจะนิยามศัพท์ศัพท์ โดยที่หารู้ไม่เลยว่าสิ่งที่คุณพยายามจะตีกรอบให้มัน มันไม่ใช่ความรักเลย มันเป็นเพียงความใคร่ ความต้องการเอาชนะ ความเห็นแก่ตัวที่ออกมาในหลายลักษณะ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรายังไม่เคยรู้ หนังสือเล่มนี้ตอบทุกโจทย์เกี่ยวกับความรักได้ ผ่านภาษาที่เป็นกันเอง อ่านเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน น่าจะเป็นคัมภีร์อีกเล่มหนึ่งที่ควรเก็บสะสมไว้ ถึงแม้ไม่อ่านแต่มีไว้เก๋ๆ ก็น่าภูมิใจนะครับ


ก่อนจบการบอกเล่าขอเสนอคำคมที่บาดลึกถึงขั้วหัวใจที่มีลงประกอบไว้ในหนังสือเล่มนี้หน่อยนะครับ


"โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐานเป็นคนดีมาแต่กำเนิด
แต่สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีต่างๆ ทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไป"

เม่งจื้อ
ปราชญ์เมธีแห่งแผ่นดินจีน

"ความรัก คือ ดอกไม้ที่เติบโตและเบ่งบาน โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของฤดูกาล"

คาลิล ยิบราน
มหากวีเอกชาวเลบานอน

"ศิลปะของชาวพุทธ อยู่ที่การมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีความทุกข์"

ท่านพุทธทาสภิกขุ

"สร้างโลกโดยการผ่านการสร้างลูก"

ว.วชรเมธี


"ความเผื่อแผ่คือการให้มากกว่าที่สามารถให้ได้ และภูมิใจที่รับน้อยกว่าที่ท่านจำเป็น"

คาลิล ยิบราน
มหากวีเอกชาวเลบานอน



ขอขีดเส้นใต้ตัวโตๆว่าหนังสือเล่มนี้ไม่อ่าน...ไม่ได้แล้วนะครับ (สำหรับคนที่กำลังมีความรัก)



เก็บอยู่ในหัวใจดวงนี้ เก็บภาพเธอคนดีตราบนานจนแสนนาน
ไว้อยู่เคัยงข้างใจ ไว้เตือนคืนและวัน...ที่ฉันเคยมีเธอ

28 กันยายน 2553

::: ละครเล่ห์...เสน่หา :::


วันเบาๆ กับอากาศที่แสนสบาย หากมีสิ่งจูงใจที่เพิ่มอรรถรสในการใช้ชีวิต...แค่เพียงหนังสือเล่มบางๆสักเล่ม ก็น่าจะเพียงพอ

วันนี้ขอนำเสนอแบบฉบับเบาๆไม่เน้นเข้มกับนวนิยายขนาดบาง(ม๊ากมาก) เรื่อง "ละครเล่ห์...เสน่หา" สรรค์สร้างโดย "กิ่งฉัตร"

นามปากกาคุ้นหู เสมือนคนคุ้นเคย...บอกเล่าท้าวความกันนิดนะครับ นวนิยายเล่มนี้ผมซื้อมาจะครบ 8 ปี แล้วมั้ง

ถ้ายังคงจำความได้ ตอนนั้นกำลังเห่อกับการกักตุนเสบียงที่เรียกว่าหนังสือ ถ้ามีโอกาสได้เข้าห้างสรรพสินค้าเมื่อไหร่ ไม่ร้านแรกก็คงต้องเป็นร้านสุดท้ายของวันที่จะต้องชะแว๊บเข้าร้านหนังสือให้ได้...และแล้ว ละครเล่ห์...เสน่หา ก็ได้มาครอง แฮ่ๆ

แล้วทำไมถึงไม่อ่านเมื่อ 8 ปีที่แล้ว?

เป็นคำถามที่หาคำตอบยากครับ...แต่ก็ไม่ใช่จะหาไม่พบเลย อาจจะเนื่องด้วยว่าพอทราบเนื้อเรื่องย่อมาบ้างแล้ว (หลังจากซื้อ) พบว่าโครงเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือซับซ้อนแต่อย่างใดถึงแม้ว่าจะมีการจบหักมุมแบบแรงๆ ตอนท้ายเรื่อง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ถูกประพันธ์ขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ถ้านับนิ้วดูแล้วตอนที่ผู้แต่งเขียนเรื่องนี้ คงสร้างความสนใจหรือความหฤหรรษ์ให้กับเหล่าบรรดาหนอนที่นิยมเสพเรื่องหักมุม แต่ทว่ากาลเวลาเปลี่ยน...อะไรๆก็ย่อมเปลี่ยนตาม เนื้อเรื่องที่ชวนฝันให้หวือหวา กับกลายเป็นความฝันกร่อยๆ ซ้ำๆ เดิมๆ และจำเจ

เข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ นวนิยายขนาดสั้นนี้มีควายาวอยู่ประมาณ 127 หน้า ใช้เวลาผ่านเพียง 2 ชั่วโมงก็น่าจะเสร็จสิ้น แต่สำหรับหนอนท่านอื่นอาจจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ก็ได้ แล้วแต่พลังความสามารถ

เนื้อเรื่องประมาณว่า...แม่นางเอกและแม่พระเอก เป็นเพื่อนซี้แน่นปึ๊ก หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้ลูกของตนทั้งสองดองกันในฐานะสามีภรรยากันในอนาคต เรื่องดูท่าจะดีเพราะตอนเด็กก็เป็นเพื่อนรักกัน เอาใจใส่กัน ความสัมพันธ์น่าจะพัฒนาได้มากกว่าพี่น้อง แต่แล้วโชคชะตาลิขิตให้ฝ่ายชายอย่าง 'อธิคม' ต้องไปเรียนต่อเมืองนอก 'นัฏศิมา' ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยเช่นเดิม ในระยะแรกทั้งคู่ยังคงติดต่อกันผ่านจดหมาย แต่ทว่ามีเรื่องให้เข้าใจผิด จนฝ่ายหญิงแปรความสัมพันธ์ที่เคยดีกัน กลายเป็นเกลียดชังและตั้งป้อมฝ่ายชายนับแต่นั้นมา เมื่ออธิคมจบการศึกษามาจากต่างประเทศ แผนของบรรดาสองแม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นกับการจับคนทั้งค่แต่งงานกันทำพันธสัญญา แต่ด้วยความที่ฝ่ายหญิงเป็นคนหัวรั้นทำยังไงก็ไม่แต่ง จึงคิดแผนการเล่นละครโดยที่จ้างนักร้องสาวตามผับบาร์ มาอ้างตัวเป็นแฟนอธิคม เมื่อเรื่องเป็นเช่นนั้นเจ้าหล่อนจะได้ประกาศกับคนอื่นว่าฝ่ายชายมีพันธะเสียแล้ว การแต่งงานย่อมล้มเหลว แต่ทว่านางเอกจอมวางแผนกลับโดนบรรดาแม่ๆ และพระเอกตลบหลังด้วยการเล่นละครหลอกอีกทีว่าเชื่อที่พระเอกมีแฟนแล้ว ... เรื่องดูท่าว่าจะดีใช่ไหมครับ? ผมถามแบบนี้เหมือนหาเรื่องกันมาก จริงๆเรื่องนี้อ่านสนุกตามสไตล์กิ่งฉัตรครับ แต่ความสนุกมันเจือจางลงเพราะความช้าของผมเอง ถ้าผมหยิบเรื่องนี้มาอ่านสัก 8 ปีที่แล้ว คงเป็นนิยายของกิ่งฉัตรอีกเรื่องที่ผมจะรักมาก

แต่ทว่า การหักมุมที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจรังสรรค์อาจจะไม่เซอร์ไพรส์สำหรับผมสักเท่าไร

ขอย้ำอย่างแรงๆอีกครั้งนะครับว่าไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นหรือดูแคลนวนิยายเล่มนี้แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าเป็นความผิดของผมเองที่หยิบมาอ่านช้า เลยทำให้อรรถรสความสนุกมีลดน้อยลง ส่วนในแง่ภาษายังคงไว้ลายความเป็นกิ่งฉัตรเช่นเคยครับ ผมอ่านนวนิยายในปลายปากกาของกิ่งฉัตรมาหลายเรื่องครับ ไม่ว่าจะเป็น ด้วยแรงอธิษฐาน,พรายปรารถนา,ลำเนาลม,บ่วงหงส์,รอยพรหม,ตามรักคืนใจ,พรพรหมอลเวง ฯลฯ ติดใจกับภาษาที่อ่านลื่นๆไหลๆ พร้อมกับได้แง่คิดมากมายที่ผู้ประพันธ์พยายามแฝงไว้ในการดำเนินชีวิตของแต่ละตัวละคร ผมกล้าป่าวประกาศดังๆครับว่านามปากกา "กิ่งฉัตร" เป็นอีกหนึ่งนักเขียนที่ผมรักงานประพันธ์ของเธอมากครับผม...ด้วยความสัตย์จริง!

ขอฝากนวนิยายฉบับบางๆ อ่านเบาๆ ในวันสบายๆไว้ด้วยนะครับกับ "ละครเล่ห์...เสน่หา"
อ้อ..แล้วถ้าใครอ่านนวนิยายเล่มนี้จบ แล้วต้องการรับชมเป็นภาพเคลื่อนไหว สามารถหาแผ่นละครเรื่องนี้ได้นะครับ
เพราะว่าเคยถูกสร้างเป็นฉบับละครมาแล้วเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วครับผม

13 กันยายน 2553

::: เรื่องชื่นใจ :::


คุณคงเคยมีเรื่องชื่นใจในชีวิตใช่ไหมครับ ?

ไม่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบของการกระทำ ข้อความ รวมถึงเสียงเพลง

"เรื่องชื่นใจ" วรรณกรรมร่วมสมัยเล่มบางแต่อัดแน่นไปด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขที่พร้อมจะผลิบานในใจของผู้อ่านเสมอ ประพันธ์โดย อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ที่ท่านเคยสร้างปรากฏการณ์หนังสือแบบเรียนภาษาไทยยุคหนึ่ง (ซึ่งผมยังไม่เกิด) ได้ร่ำเรียนกัน

หนังสือเล่มนี้ผมขอภูมิใจนำเสนอแบบแรงๆ เพราะว่าสนุกสุดๆ

สนุกยังไง?

สนุกตรงที่เรื่องสั้นทั้งหมดกว่าสิบเรื่อง จะมีการปูเรื่องที่นำความเครียด นำปมขัดแย้งระหว่างตัวละครซึ่งกันและกัน มาเปิดเรื่อง หลังจากนั้นเรื่องจะดำเนินต่อไปตามจิ๊กซอว์ที่ได้เริ่มไว้ แต่สุดท้ายตอนจบกลับหักมุมให้กลายเป็นเรื่องชื่นใจเสียทุกเรื่องไป

ยกตัวอย่าง...

ตอน "ไอ้ตุ่น"

เรื่องเราวของมิตรภาพที่เกิดขึ้นบนความขัดแย้งของ "ทัด" เด็กบ้านนาที่มีสุนัขพันธุ์ไทยตัวไม่ใหญ่นักเลี้ยงไว้เป็นเสมือน 'เพื่อน' แต่เคราะห์ร้ายถึงร้ายที่สุด ที่รถยนต์ของ "มรุต" ขับมาด้วยความเร็วสูง หวังจะให้ถึงที่หมายโดยไว แต่มัจุราชสี่ล้อก็ได้พรากเอาลมหายใจสุดท้ายของ "ไอ้ตุ่น" เพื่อนสี่ขาของทัดไป ความเครียดแค้นกำลังเดินทางมาทักทายทัด แน่นอนว่าเขาต้องคิดแผนการเอาคืนในการกระทำของคนมักง่ายดังกล่าว แต่ทว่าเมื่อแผนการเริ่มขึ้น มรุตกลับเดินลงมาจากรถ(ของวันรุ่งขึ้น) เพื่อมาขอโทษทัดและยอมรับความผิดทุกอย่าง แม้กระทั่งเขายอมที่จะให้ทัดเรียกตัวเองว่า "ตุ่น" เพื่อที่เขาทั้งคู่จะได้เป็นเพื่อนกัน

เห็นไหมครับว่า...มันน่าชื่นใจขนาดไหน เรื่องดูท่าว่าจะจบไม่สวยเท่าไร แต่กลับแฮบปี้เอนดิ้งโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมหรือฉีดโบท๊อกซ์ แหม...คนผิดก็เล่นออกมายอมรับอย่างจริงจังพร้อมคำขอโทษ แบบนี้จะไม่ให้คนที่กำลังโกรธอยู่ชื่นใจได้ยังไงเล่าครับ

ตอน "หยินกับพลอย"

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากความทรนงตนของ "พลอย" เด็กสาวยากจน ที่ชะตาฟ้าลิขิตกลับให้มาอาศัยอยู่บ้านใกล้กับเศรษฐีอย่าง "หยิน" ซึ่งพลอยเป็นนักเรียนคนเดียวในชั้นที่ไม่ชมว่าหยินสวย หยินเก่ง และหยินรวยเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เพราะพลอยไม่ชอบใจนักที่หยินคอยโอ่ตัวเองกับเพื่อนๆเสมอ มาวันหนึ่งพลอยได้หายไปจากกิจวัตรของการเดินทางมาโรงเรียน คุณครูไหว้วานให้หยินตรวจสอบให้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลอย สุดท้ายความจริงทั้งหมดเปิดเผยว่าบ้านของพลอยกำลังประสบกับปัญหาอย่างใหญ่หลวง คุณพ่อได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่เพิ่งคลอดน้องคนเล็กไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไร มีแต่พลอยเพียงคนเดียวที่ต้องรับภาระหน้าที่ทุกอย่างทั้งหมด เพราะวิกฤตินี้เองจึงทำให้เป็นโอกาสที่ทั้งคู่หันหน้าเข้ามาคุยกัน หยินช่วยเหลือพลอยทุกอย่างในฐานะเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมชั้น ความอุ่นใจกลับมาหาพลอยอีกครั้งเมื่อแม่ของหยินรับพลอยมาเป็นบุตรสาวอีกคน พร้อมทั้งอนุญาติให้แม่ของพลอยมาเป็นแม่บ้านภายในคฤหาสน์

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมชอบและเสียน้ำตาให้มากที่สุด เพราะว่าซึ้งมากครับ การเสียสละของเด็กคนหนึ่งที่มีต่อครอบครัว มันหนักหนาและสาหัสมากสำหรับกำลังของเด็กคนหนึ่งที่ต้องรับหน้าที่ป้อนข้าวป้อนน้ำให้แม่ คอยดูแลเลี้ยงน้องด้วยน้ำข้าว เงินจะกินข้าวก็แทบจะไม่มี ต้องอดมื้อกินมื้อ และไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร (ในระยะแรก) อ่านแล้วเศร้าใจและชื่นใจไปคราวเดียวกันเลยครับ


ตอน "ผมชื่อก้อง"

"ก้อง" หรือเด็กชายก้อง มักใช้ชีวิตอยู่กับการยิงหนังสติ๊ก เขามักที่จะทำข้าวของของโรงเรียนเสียหายเสมอ โดยเฉพาะหน้าต่างห้องพักครู จนถูกคุณครูทำโทษและคุณครูย้ำว่าการยิงหนังสติ๊กไม่ใช่สิ่งผิด แต่ยิงให้ถูกที่ถูกเวลา ก้องจดจำความสอนของครูจนขึ้นใจ และวันเวลาที่ถูกที่และถูกเวลาได้มาถึง เมื่อก้องได้แอบเห็นสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อครูใหญ่กำลังตกอยู่ในอันตราย โดยที่กำลังถูกครูมิจฉาชีพซึ่งปลอมตัวมากำลังบุกเข้าทำร้าย ฮีโร่ก้องได้ยิงหนังสิ๊กถูกเบ้าตาของผู้ร้าย จึงมีผลทำให้คุณครูรอดพ้นจากสถานการณ์คับขันอย่างหงุดหงิด

เรื่องนี้อ่านเอาขำๆครับ ขำในแบบฉบับน่ารักๆ เพราะจากเด็กชายคนหนึ่งซึ่งมีความเกเรเป็นเอกลักษณ์ พอถึงเวลาพักกลางวันทีไร เป็นต้องยิงนกตกปลา แต่เพราะเป็นเด็กรักดี เชื่อฟังคำสั่งสอนของครู จึงทำให้เขาช่วยชีวิตครูใหญ่ไว้ได้


เรื่องราวที่ยกตัวอย่างมานั้นเป็นเพียงแค่บางส่วนเบาๆเท่านั้นครับ ไม่อยากบรรยายมาก เพราะจะเสียอรรถรสของการอ่านหมดครับ ขอย้ำแค่ว่าสนุกจริงๆ แต่ต้องขอสารภาพก่อนว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมาอ่านจริงๆ (ให้ตายเถอะ) แต่สถานการณ์มันบีบคั้นครับ เพราะผมกำลังต้องการจะทำบัตรสมาชิกกับร้านหนังสือร้านหนึ่ง แต่ทว่าตามกฏกติการะบุว่าจะต้องมียอดชำระค่าหนังสือถึงหนึ่งพันบาท ถึงจะสามารถทำบัตรสมาชิกได้ เหลียวซ้ายแลขวา ไม่รู้จะเอาเล่มไหนนี้ เอาวะ...เล่มนี้ก็ได้ เลยเลือกมาครับ ไม่ผิดหวังจริงๆ สนุกมากกกก (อยากจะให้มากกว่านี้เป็นร้อยเท่าแต่กลัวเนื้อที่จะไม่พอเขียนตัวอักษรกอไก่ครับ)

เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่อาจารย์รัชนี ท่านประพันธ์ไว้ตั้งแต่ปี 2511 - 2540 กินเวลายาวนานร่วมสี่สิบปีมาแล้ว แต่ทว่าความสนุกไม่ได้ลดน้อยลงเลย โดยเรื่องสั้นทั้งหมดจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัยเด็ก วันเรียนเสียทุกเรื่อง อ่านแล้วก็หวนคิดถึงอดีตและวันวานที่ผ่านเลย พฤติกรรมบางอย่างเราเองก็เคยทำและเคยประสบพบเจอมา อ่านแล้วก็เหมือนส่องกระจกครับ


วันและเวลาได้ผ่านไปแล้ว...แต่ความทรงจำยังคงอยู่
ฝากไว้กับ "เรื่องชื่นใจ" ...ขอให้จดจำความชื่นใจในวัยเด็ก...ตลอดไป

1 กันยายน 2553

::: เจ้าชายน้อย :::






"หนังสือเล่มเล็กๆ มีภาพประกอบฝีมือผู้เขียนนี้ นับเนื่องอยู่ในวรรณกรรม
ประเภทนิทานสำหรับเด็ก...และสำหรับผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน

งานประพันธ์ที่นำเสนอในท่วงทำนองผสมผสาน
ระหว่างกวีนิพนธ์ และงานแฟนตาซีโดยอิงสารัตถะ

แห่งวัฒนธรรมตะวันตกเล่มนี้มีเนื้อหาง่ายๆ

แต่แพรวพราวด้วยความคิดฝัน
เมื่ออ่านแล้วจะนำพาผู้อ่านไทยไปเผชิญปัญหาพื้นฐานไร้พรมแดน

อันได้แก่การเลือกทางเดินในชีวิต"


จากข้อความปกด้านในที่บรรยายสรรพคุณของวรรณกรรมชั้นดี ที่มาอายุครบรอบแซยิด ซึ่งสามารถอยู่ยั้งยืนยงมาได้ถึง 60 ปีเต็ม เป็นเครื่องการันตีว่าถ้าไม่เด็ดจริง แซ่บจริง คงไม่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานขนาดนี้

ขอท้าวความอย่างกระชับก่อนครับว่า ก่อนที่จะได้สัมผัสกับหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง ผมได้ตระเวณ(ขอใช้คำนี้)หาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆที่มีการล้อมวงคุยกันเรื่องหนังสือ โดยกระทู้ส่วนใหญ่ที่มักจะคลิ๊กเข้าไปอ่านคือวรรณกรรมเยาวชน และประเด็นที่มักหยิบยกขึ้นมาสนทนากันนั่นคือการร่วมโหวตว่าวรรณกรรมเล่มไหนสนุกที่สุด หรือน่าสนใจที่สุด ...ให้ตายสิครับ ไม่ว่าจะกี่เว็บไซต์หรือกี่กระทู้ วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "เจ้าชายน้อย" ย่อมมีชื่อติดโพลเสียทุกครั้ง และในทุกๆครั้งก็ได้รับคะแนนมาเป็นลำดับต้นๆเสียด้วย ต่อม 'อยาก' เริ่มทำงาน ต่อม 'เสียเงิน' เริ่มส่งสัญญาณ แล้วจะช้าอยู่ไย...ไปตามหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราดีกว่า


แต่ในควาามเป็นจริงแล้ว ผมอ่านหนังสือประเภทวรรณกรรมเยาวชนนับเรื่องได้เลยนะครับ ก่อนหน้านี้ก็ "ต้นส้มแสนรัก" ถามว่าสนุกไหม? สนุกมั้ง! ประทับใจไหม? ประทับใจมั้ง! ร้องไห้เหมือนกับคนอื่นไหม? คงร้องไห้ เพราะทั้งหมดทั้งมวล...ตูอ่านไม่รู้เรื่อง!!?!! อาจจะเป็นเพราะด้วยสำนวนภาษา การพรรณนาให้เกิดภาพพจน์ด้วยสำนวนที่แปร่งไม่มักคุ้นเท่าสำนวนของคนไทย เลยทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลงน่ะครับ เกิดเป็นกรณีศึกษาขึ้นมาแล้วหนึ่งครั้ง เราควรจะต้องระมัดระวังให้ถ้วนถี่ในการบริโภควรรณกรรมในครั้งต่อไป...อย่างที่ได้บอกครับ มีการค้นหาข้อมูลจนแน่ใจว่ามันต้องดีและต้องสนุก สุดท้ายก็ได้มาครอบครอง

หลังจากที่อ่านเรื่องนี้จบเพียงครึ่งวัน ก็พบว่ามันไม่ได้สนุกอย่างที่เราตั้งใจไว้ว่ามันจะต้องสนุกมากๆๆๆๆ แบบถึงมากที่สุด และต้องประทับใจไปอีกยาวนาน...มันไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่จะเรียกว่าผิดหวัง (ถึงขั้นบัดซบ) เลยมั้ย ก็ไม่เชิง เพราะว่าเนื้อเรื่องที่ชวนติดตามกับการเดินทางของเจ้าชายน้อยไปยังดาวดวงต่างๆ มันสร้างจินตนาการให้กับเราดีนะครับ ในส่วนของสำนวนภาษาก็อย่าที่ผมพอจะเข้าใจว่าการรับรู้ของตัวผมเองกับหนังสือแปลน่ะไม่ค่อยจะกินเส้นกันสักเท่าไร ดังนั้นอรรถรสที่ได้จากภาษาย่อมลดทอนความน่าสนใจของเนื้อเรื่องไปน่ะครับ


โดยที่เรื่อง "เจ้าชายน้อย" (Le Petit Prince) ประพันธ์และสร้างสรรค์ภาพโดย อองตวน เดอ แซงแตก-ซูเปรี และแปลโดย อำพรรณ โอตระกูล เป็นเรื่องราวของเด็กชายตัวน้อยที่มีเรื่องขุ่นใจกับดอกกุหลาบภายในอาณัติ เขาจึงใช้ความไม่เข้าใจกันนี้ เดินทางออกจากบ้านหรือดวงดาวที่อยู่อาศัย เพื่อไปหาเพื่อนจากดาวอื่นๆ จึงเป็นเหตุให้ได้พบกับผู้คนและเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้แสวงหาจุดหมายปลายทางของตัวเองว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร แต่การเดินทางไปในแต่ละสถานที่ก็เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายไม่ว่าจะไปพบเจอกับพระราชาผู้ปกครองทุกสิ่ง พบกับชายชราที่กำลังนั่งเขียนหนังสือเล่มโต หรือพบกับชายนักธุรกิจที่บริบทในชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย นี้เป็นเพียงประสบการณ์บางส่วนที่เจ้าชายน้อยพบเจอมา


ซึ่งวรรณกรรมอมตะเล่มนี้ถูกแปลขึ้นมากกว่าร้อยภาษา เป็นเครื่องการันตีถึงความสนุกสนานและอรรถรสที่เปี่ยมสุข แต่ทว่าผมอาจจะเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกตรงจุดนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวรรณกรรมเล่มนี้จะเลวร้ายหรือไม่ได้มาตรฐานที่สากลควรจะยอมรับ ทว่าของแบบนี้รสนิยมใครรสนิยมมัน ไม่สามารถนำมาตรฐานมาวัดกันได้อย่างชัดเจน แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ผมได้คือจินตนาการของเด็กตัวน้อยๆคนหนึ่งที่ช่างคิด ช่างฝัน ช่างพูด กลายเป็นนักเดินทางตัวน้อยที่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง


ถึงแม้จะไม่ปลื้มเท่าเล่มอื่น แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินแกง
หนังสือเล่มเล็กๆแต่มากไปด้วยประสบการณ์ ก็น่าที่จะลองซื้อมาอ่านเพลินๆกันดูนะครับ
ใครอยากบริโภคจินตนาการอันบรรเจิด เจ้าชายน้อยมีขาย
ขอจบสั้นๆกับรีวิวในครั้งนี้ครับ

17 สิงหาคม 2553

::: หมื่นตา ธรรมะ :::


ห่างหายจากการอัพเดทบรรดาอาหารที่หนอนอ้วนอย่างผมเคยลองลิ้มชิมรสไปเสียนาน ต้นเหตุของเรื่องเกิดจากครบรอบวันสำคัญที่สุดในชีวิตอีกวันหนึ่งของผู้ที่ได้ชื่อว่า "ลูก" ...ใช่ครับ! ผมเดินกลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อแสดงตัวตนการเป็นลูกที่ดีเนื่องในวันแม่แห่งชาติ

กลับมาคราวนี้เลยหนีบหนังสือเข้ากระเอวมาหนึ่งเล่ม เพื่อมาแนะนำให้เพื่อนหนอนของกระผมได้ลอง 'เสพ' กัน นั่นคือเรื่อง "หมื่นตา ธรรมะ" เป็นหนังสือประเภทการ์ตูน ธรรมะสอนใจ ซึ่งหนังสือประเภทนี้กำลังได้รับความนิยมจากนักอ่านกันอย่างอุ่นหนา เพราะ ในสภาพปัจจุบัน นอกจากการแข่งขันในทุกอณูของการดำเนินชีวิตแล้ว ยังมีเพื่อนใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญอย่าง "นายปัญหา" เข้ามาร่วมก๊วนกันในหลายกลุ่มชน ไม่มีการเลือกชั้นชนใดๆทั้งสิ้น สามารถเข้าไปตีซี้ตีสนิทจนกลายเป็นมายด์เฟรนกันไปโดยปริยาย (ทั้งๆที่ก็ไม่ได้อยากคบค้าสมาคมด้วย) ด้วยเหตุนี้เองผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จึงมักนิยมไขว่คว้าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจหวังเพียงเพื่อไล่เพื่อนซี้ที่ไม่รับเชิญผู้นี้ออกไปจากวงโคจรของชีวิต

โดยที่หนังสือเล่มนี้ผมซื้อมาได้ร่วมสองเดือนแล้วมั้งครับ แต่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง สาเหตุเกิดจากตรรกะที่ฟังดูไม่ค่อยสมดุล คือ ถ้ารีบอ่านเร็ว มันก็จะจบเร็ว และถ้าอ่านจบเร็ว ช่วงเวลาต่อมาก็จะไม่มีอะไรอ่าน และถ้าไม่มีอะไรอ่าน วันๆก็ท่องเป็นอยู่ประโยคเดียวคือ "อินเทอร์เน็ตๆ" เช้าก็อินเทอร์เน็ต กลางวันก็อินเทอร์เน็ต แน่นอนช่วงเวลาเย็นเหยียดถึงตีสองก็เป็นเวลาของอินเทอร์เน็ตเช่นกัน มันสามารถกระชับวงล้อมพื้นที่เวลาในชีวิตหนอนอย่างผมได้ครอบคลุมจริงๆครับ ดังนั้นช่วงที่ทรัพย์สินในชีวิตเริ่มจางหาย การเสพสิ่งพิมพ์อย่างละเลียดนี่มันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบแสนคลาสสิคจริงๆครับ (ผมนิยามมันเองนะครับ)

เริ่มร่ายออกทะเลฝั่งตะวันตื่น...มาบอกรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้กันเสียหน่อย "หมื่นตา ธรรมะ" จัดเป็นหนังสือการ์ตูนแฝงธรรมะ หมวดจิตวิทยา/พัฒนาตนเอง ประพันธ์สรรค์สร้างโดย "กะว่าก๋า" ราคาจำหน่ายเล่มละ 180 บาท จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ อะธิงก์ ซึ่งเรื่องราวของหมื่นตานี้จุดเริ่มต้นเกิดจากในโลกของ Bolg ซึ่งเจ้าของนามแฝงว่ากะว่าก๋าต้องการที่จะใช้พื้นที่ดังกล่าวบอกเล่าความรู้สึก แสดงตัวตน ผ่านภาษา เพลง ภาพถ่าย รวมถึงการ์ตูน ซึ่งมีคุณหมอท่านหนึ่งเข้ามาสร้างคำถามให้กับผู้เขียนในการค้นหาคำตอบในประเด็นเรื่องความรัก โดยที่คุณหมอท่านนั้นใช้นามแฝงว่า Dr.Manta ... Manta ... Manta ... หมื่นตา ใช่แล้วครับชื่อตัวละครหมื่นตาซึ่งถือเป็นตัวละครเอกของเรื่อง เกิดจากนามแฝงของผู้ตั้งคำถามนี่เอง กอปรกับผู้เขียนให้นิยาม ดวงตาในที่นี่ว่า การรู้จักตัวเอง โดยที่ตัวละครหมื่นตา ถึงแม้จะชื่ออลังการเสียพันเสียหมื่น แต่กลับมีดวงตาดวงเดียว ก็เพราะว่าสามารถรู้จักและเข้าใจตนเอง โดยผ่านประสบการณ์ คำสอน และการเรียนรู้

ขอร่ายประวัติของตาหมื่นตาคนนี้อย่างย่อๆย่องๆและพอเป็นกระสัย หมื่นตาจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก (จริงๆสมควรเรียกท่านว่าด๊อกเตอร์) ดีกรีเกียรตินิยมจากต่างประเทศ แน่นอนว่าความมั่นใจและอีโก้พ่วงมากับใบปริญญาที่แลกมาด้วยความชาญฉลาดของเขา คนรอบข้างในสายตาของหมื่นตาเปรียบเสมือนคนขาดโอกาส ไม่มีใครสามารถทัดเทียมเขาได้ เขาต้องเป็นที่หนึ่งเสมอและตลอดไป จนวันหนึ่งหมื่นตาเหลือญาติพี่น้องอยู่คนหนึ่ง นั่นคือ คุณตาไร้ตา ซึ่งเขาไม่เคยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเลย จึงถือโอกาสแวะไปหาท่าน ระหว่างที่นั่งดื่มน้ำชา หมื่นตาเกิดข้อกังขาว่าทำไมคุณตาไร้ตา จะต้องมาหลบเร้นตนเองในหลืบเขาเช่นนี้ ทั้งๆที่คุณตาก็มีสติปัญญาที่ดีเป็นเลิศ คุณตาให้เหตุผลว่า คนที่มีปัญญา คือคนนอบน้อม รู้ตัวว่ายังมีอะไรที่ยังไม่รู้อีกมากไม่มีใครเกิดมาแล้วจะรู้หรือชำนาญเสียทุกเรื่อง ผู้ที่อ่านหนังสือมากกว่าไม่ได้หมายความว่าต้องเก่งกว่าคนอื่นเสมอไป คุณตาไม่ได้ตอบคำถาม ทว่าถามกลับว่า เคยสงสัยบ้างไหม? ทำไมสุดยอดความรู้ในแขนงวิชาต่างๆ ที่เราเรียนมาถึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ การงาน การเงิน หรือปัญหาชีวิตของเราได้เลย จากคำถามดังกล่าวสามารถจุดแสงสว่างในความคิดของหมื่นตา เขารู้สึกสำนึกผิดที่คิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และมีความคิดที่ล้ำเลิศกว่าคนอื่นมาโดยตลอด หมื่นตาคิดที่อยากจะศึกษาหลักธรรม คุณตาจึงแนะนำให้ไปหาท่านเจ้าอาวาสที่สถานปฎิบัติธรรมพุทธคำนึงที่ไกลแสนไกล

นี้ละครับประวัติโดยย่อของนายหมื่นตาผู้ทรนงตน...อ่านมาถึงตรงนี้แล้วได้ข้อคิดมากมายนะครับ ผมชอบแนวคิดที่ว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วรู้ทุกเรื่อง แล้วเรื่องที่คิดว่ารู้ รู้จริงขนาดไหน เราอาจจะเป็นคนที่คำนวณเลขเก่งมาก พอได้รับทราบโจทย์ปุ๊บ เพียงเสี้ยววินาทีสามารถตอบได้ปั๊บ ความเก่งอัจฉริยะของเรานั้นก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเราจะต้องเป็นคนทำอาหารอร่อย สามารถสร้างบ้านเป็น หรือสามารถเย็บปักถักร้อยได้ นี่คือสัจธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม การให้เกียรติในการแสดงความคิดเห็น หรือยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น สิ่งเหล่านี้เลือนหายไปพร้อมกับอีโก้ที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาเป็นกำแพงขว้างกั้นตนเอง

นอกจากนี้ยังมีข้อคิดที่คุณตาไร้ตา สอนหมื่นตา ขอคัดลอกบางส่วนเพื่อยกตัวอย่างประกอบนะครับ

"ผู้รู้ที่แท้ คือ ผู้ที่รู้จักตัวเอง หยุดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
ย้อนมองส่องตน ดูแลความคิดของเราให้ดีที่สุด เท่านั้นเป็นพอ..."

"หมื่นตารู้มิสู้ปล่อยวาง ปล่อยวางในสิ่งที่รู้
รู้ว่าสิ่งที่รู้เป็นเพียงมายาและสิ่งสมบัติอันไม่เที่ยงแท้"

"อย่ามัวแต่คิดจะเปลี่ยนแปลงโลก โลกไม่ได้หยุดหมุนเพราะการจากไปของเรา
เราเพียงแต่เปลี่ยนความคิดที่มีกับตัวเอง เปลี่ยนให้ดีขึ้น...เมื่อนั้นตัวเราจะเปลี่ยน
ครอบครัวจะเปลี่ยน สังคมจะเปลี่ยน ในที่สุด...โลกก็จะเปลี่ยน"


นี้คือตัวอย่างเล็กน้อยที่ข้ออนุญาติคัดลอกมาประกอบนะครับ หลังจากที่หมื่นตาได้พบกับท่านเจ้าอาวาส เรื่องสนุกๆก็ได้เกิดขึ้นครับ เพราะท่านมักชอบเล่นปริศนาธรรม และกวนหมื่นตาทุกครั้งเมื่อความคิดของเขาไม่เสถียร ขอยกตัวอย่างคำสอนที่ท่านเจ้าอาวาสสอนหมื่นตาสัก 3 เรื่องนะครับ

"อยากศึกษาธรรมะให้ศึกษาจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากตัวเรา ดูให้รู้ ดูให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นที่ใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด
จะดับทุกข์นี้ได้ด้วยวิธีใด และจะทำอย่างไร มิให้ทุกข์นี้ย้อนกลับมาแว้งกัดเราได้อีก
ธรรมะ คือ ความถูกต้องเป็นไปของมันเช่นนั้นเอง สิ่งใดที่ดีงาม สิ่งนั้นคือ ธรรมะ"

"ที่สุดของการทำบุญ คือ การลดทอนความเห็นแก่ตัวในใจเรา ไม่ใช่การเพิ่มพูนความอยาก ความโลภในบุญ
การทำบุญที่แท้จริง จึงไม่ต้องหวังบุญ ไม่หวังสิ่งตอบแทนในการให้ มันต้องเป็นการเสียสละอย่างบริสุทธิ์ใจ"

"สิ่งที่ควบคุมจิต คือ "การเรียนรู้" ไม่ใช่ "การสั่งสมความรู้" "การเรียนรู้" มิได้เกิดจากการแสวงหาความรู้จากสิ่งที่อยู่นอกตัว
หากแต่เป็นการย้อนกลับมามอง "ปัญญา" เดิม ที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน"


ข้อความเหล่านี้เป็นข้อคิดเตือนใจที่ท่านเจ้าอาวาสได้สอนหมื่นตาให้รู้จักเนื้อแท้ของการใช้ชีวิตดำรงอยู่บนทางสายกลางและความดีงามเหมาะสม จริงๆอยากจะรีวิวข้อคิดหรือคำสอนมากกว่านี้ แต่เพราะหนังสือเล่มนี้อุดมไปด้วยพุทธคุณ อยากจะให้ลองซื้อมาเป็นหนังสือสามัญประจำบ้านเสียจริงๆ เพราะอ่านง่าย ภาพการ์ตูนน่ารัก เหมาะสำหรับเด็กจนกระทั่งถึงแก่ชราถ้ายังลืมตาไหวก็เหมาะสมที่จะอ่าน

สั้นๆง่ายๆ "หมื่นรู้ มิสู้ปล่อยวาง"
เช่นผม...อ่านเถอะครับ

8 สิงหาคม 2553

::: THE STAR ค้นฟ้า คว้าดาว :::

"เพื่อดาวดวงนั้น ที่ฝัน...ที่อยากเป็น
เพื่อดาวดวงนั้น แม้ฝันคงไม่ไกล
เพื่อดาวดวงนั้น ต้องสู้...จนสุดใจ จะเป็นดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า
เพื่อดาวดวงนั้น แม้ฉันต้องฝ่าฝัน
เพื่อดาวดวงนั้น ฉันจะทำให้เหนือกว่า
เพื่อดาวดวงนั้นฉันพร้อมจะไขว่คว้า
และจะทำให้โลกได้รับรู้ว่าฉันจะเป็น...ดาว"

เพลงประจำชาติของรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อดังที่มีจำนวนตัวเลขการันตีความนิยมซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรายการประกวดคนมีฝันที่ได้ทั้งกระแสและในเชิงธุรกิจสูงสุด คงไม่ต้องให้ผมสร้างคำตอบให้นะครับว่าเป็นรายการอะไร

รายการ "เดอะสตาร์ (ค้นฟ้าคว้าดาว)" เปิดตัวในเดือนตุลาคม ปี 2546 ท่ามกลางกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงฝีปากและจริตของคณะกรรมการที่ทั้ง 'กัด' ทั้ง 'จิก' และอาศัยความแรงในการคอมเม้นต์มาเป็นจุดขาย ถึงแม้บรรดา 'ท่านๆ' จะออกตัวว่าเป็นการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็กล่าวไปเช่นนั้น เป็นการติเพื่อก่อเพื่อให้บรรดาผู้เข้าแข่งขันได้รู้ว่าตนมีจุดดีและด้อยอย่างไร แต่ถึงกระนั้นกระแสของความแรงในการวิจารณ์ก็ไม่ได้มีน้อยลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นประจำรายการนี้ไปเสียแล้ว หากขาดคณะกรรมการทั้งสามท่านไปผู้ชมคงดูไปสนุกคล้ายกับทานข้าวแต่กลับไม่มีน้ำปลาพริกเคียงคู่อย่างไรอย่างนั้น

เพื่อนหนอนที่รักของผมทั้งหลาย....อย่างเพิ่งเข้าสู่ภาวะของการแปลกใจ ซึ่งอาจจะโน้มนำไปสู่อาการ 'งง' กันนะครับ ต้องขอชี้แจงก่อนว่าที่ผมหยิบยกประเด็นของรายการเรียลลิตี้โชว์ที่เพิ่งจบฤดูกาลไปหมาดๆอย่างรายการ "เดอะสตาร์" ขึ้นมาเป็นประเด็นนั้น เพราะผมมีหนังสือเล่มหนึ่งครับที่ผมได้มันมาตั้งแต่ผมยังใส่ชุดนักเรียนขาสั้น หัวเกรียน(น่าตบเล่น) อยู่เลยครับ หนังสือเล่มนี้จัดได้ว่าเป็นพ็อกเก็ตบุุ๊คส์ประเภทบันเทิง ซึ่งรวบรวมคำสัมภาษณ์จากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคณะผู้บริหาร คณะกรรมการ รวมถึงประวัติผู้เข้าแข่งขัน 8 คนสุดท้ายรุ่นที่ 1 - 2 ไว้อย่างครบถ้วน


"The Star ค้นฟ้า คว้าดาว" เล่มที่อยู่เคียงข้างกายผมมาตลอดนี้ ถูกจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ เมื่อปลายปี 2547 เรียบเรียงเรื่องราวโดย เนตรนภา แก้วแสงธรรม หนังสือเล่มนี้เคยขึ้นหิ้งหนังสือขายดี เพราะเคยเปิดตัวที่งานหนังสือแห่งชาติ มีผู้ไปรอซื้อหลายร้อยคน แน่นอนว่าผู้เข้ารอบสามคนสุดท้าย (พีท-เอ็ม-นิค) ไปร่วมแจกลายเซ็นต์ด้วย

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้...อยู่ที่นำเอา "ความจริง" มารวบรวมและตีพิมพ์ รูปภาษาที่สวยงามหรือเนื้อหาที่ชวนน่าติดตามไม่พบเห็นนัก แต่ทว่าความเป็นเรียลลิตี้กลับกินเข้าไปในหัวใจของคนมีฝันเช่นกัน...พลิกหนังสือตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย ต้องคอยหาผ้ามาซับคราบน้ำตาที่ผุดขึ้นเองตามหน้ากระดาษ...ความรู้สึกรวมถึงอารมณ์เสียใจบ้าง ดีใจบ้าง ถูกกลั่นกรองออกมาผ่านหยดน้ำตา นี่แหละคือชีวิตจริงที่ทุกคนต้องยอมรับเมื่อคิดที่จะก้าวเข้าสู่ประตูแห่งดวงดาว



ขอท้าวความอย่างไม่ยาวนัก...จุดเริ่มต้นของรายการนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณบุษบา ดาวเรือง และคุณถกลเกียรติ วีระวรรณ (เจ้าของรายการ) ได้เห็น 'วิถี' ของคนมีฝันซึ่งออกมาในรูปแบบของการอยากเป็นแดนเซอร์ อยากแสดงละครเวที เห็นคราบน้ำตาของผู้แพ้ที่ไม่สามารถเป็นตัวแทนในการตามความฝันของตนเองได้ ดังนั้นผู้บริหารดังกล่าวจึงได้มาประชุมและหารือกันว่าอยากที่จะทำรายการเพื่อหาศิลปินหน้าใหม่เพื่อมาร่วมงานกับบริษัท GMM แกรมมี่ โดยที่มีการถ่ายทอดออกอากาศตั้งแต่ตอนยื่นใบสมัคร รอบร้องเพลงปากเปล่าเพื่อโชว์น้ำเสียง รอบร้องเพลงกับเปียโน รวมถึงรอบตัดสินเพื่อหา 8 คนสุดท้าย

ย้อนกลับไป 7 ปีที่แล้ว คอนเซ็ปต์รายการประกวดร้องเพลงนี้ถือว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ให้กับรายการโทรทัศน์ เพราะยังไม่เคยมีรายการใดผลิตออกมาในรูปแบบนี้มาก่อน เพราะส่วนใหญ่ถ้าลองได้ชื่อว่าเป็นรายการประกวดร้องเพลงจะมีการคัดเลือกกันมาก่อน แล้วขึ้นร้องประกวดบนเวทีใหญ่ แล้วตัดสินแพ้ชนะหลังจากที่ผู้เข้าประกวดคนสุดท้ายทำการแสดงสิ้นสุดลง แต่ทว่ารายการ "เดอะสตาร์" เมื่อตัดสินหา 8 คนสุดท้ายได้แล้ว ยังต้องมีการแข่งขันร้องเพลงตามโจทย์ต่างๆ (ซึ่งในแต่ละฤดูกาลจะมีการเปลี่ยนแปลงกันไป) อาทิ รอบเพลงช้า รอบเพลงเร็ว รอบเพลงร็อค รอบเพลงลูกทุ่ง เป็นต้น รวมแล้ว 7-9 สัปดาห์ กว่าจะได้ผู้ที่สามารถเอาชนะใจของคนไทยทั้งประเทศได้
รายการ "เดอะสตาร์" วางคอนเซ็ปต์ไว้ว่า เป็นรายการเพื่อเฟ้นหานักร้องเพื่อเข้าสังกัด GMM แกรมมี่ ไม่ใช่รายการประกวดร้องเพลงแต่อย่างใด เพราะรางวัลอันสูงสุดที่ผู้ชนะเลิศจะได้รับคือการได้เป็นศิลปินหน้าใหม่ขององค์กรดังกล่าว อีกทั้งยังได้ออกเทปตามสไตล์ที่เหมาะสมกับตัวเองอีกด้วย ซึ่งในระยะแรกๆ (รุ่นที่ 1 - 2 ) จะมีการเฟ้นหาผู้เข้าประกวดที่เน้นเรื่องความสามารถเป็นหลัก เพราะต้องการหานักร้อง ไม่ใช่หานักแสดง จึงทำให้ผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ต้องได้ชื่อว่าเก่งจริงและมีความสามารถจริง ไม่ว่าจะเป็น สน,จิ๋ว,นิว,บิว,เอิร์น,นิค,เอ็ม,น้อง,เอ็ม,ปาล์ม,พีท,ใบเตย,อั้ส เป็นต้น

แต่ทว่าเมื่อระบบการตลาดเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางศิลป์ในการประดิษฐ์รายการ รูปแบบจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามวาระที่ควรจะเป็น ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาคือในระยะหลังผู้เข้าประกวดส่วนใหญ่จะเน้นที่หน้าตามากกว่าเสียงร้อง เพราะมีบทพิสูจน์แล้วจากรุ่นที่ 3 นั่นคือ บี้-สุกฤษ์ วิเศษแก้ว ซึ่งในขณะที่แข่งขันเขาคือจุดอ่อนในเกม มักจะโดนวิจารณ์อย่างเสียๆหายๆจากการแสดงโชว์แต่ทว่าหลังจากจบฤดูกาลเขากลับเป็นคนเดียวที่โด่งดังมากที่สุด เพราะเป็นคนหน้าตาดี มีเสน่ห์ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาในเรื่องการร้องและเต้นได้อย่างดีเยี่ยม "บี้" จึงเป็นตัดแปรสำคัญในการพลิกกลยุทธ์การเฟ้นหาผู้เข้าประกวดหน้าใหม่ในรุ่นต่อๆไปที่เน้นหน้าตาและเสน่ห์เป็นหลัก ส่วนพัฒนาการของการร้องเพลงไว้เป็นโจทย์ท้ายๆในการพิจารณา

แฟนพันธ์แท้อย่างผม...ซึ่งเคยศรัทธากับรายการปั้นดิน (จริงๆ) ให้เป็นดาวก็เกิดอาการอิดหนาระอาใจอยู่ไม่น้อยครับ เพราะเคยชื่นชมรายการนี้อย่างมหาศาลที่ไม่มีระบบเล่นเส้นและมักคัดเลือกบุคคลหน้าตาดีเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในรายการ แต่ทว่าระบบของธุรกิจก็ต้องทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่ก็เข้าใจนะครับว่าระบบการตลาดทุกวินาทีคือการแข่งขัน มัวแต่ประดิษฐ์หานักร้องที่เสียงคุณภาพ แต่ไร้เสน่ห์ใครที่ไหนอยากจะสนับสนุน...จริงไหมครับ? ซึ่งค้านกับตรรกะแรกๆที่คณะกรรมการและผู้บริหารเคยสัมภาษณ์ไว้ ผมขออนุญาติคัดลอกมาเพื่ออ่านกันนะครับ

"สคริปค์ที่ดีที่สุดในโลก คือลิขิตจากพระเจ้า ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
อารมณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นสดๆ ทั้งดี เสียใจ สมหวัง...ผิดหวัง"

-ถกลเกียรติ วีระวรรณ-

"จะมาร้องไห้มันไม่ได้ ก็ต้องอยู่ในโลกนี้ให้ได้แม้ไม่ประสบความสำเร็จ
ถ้าคุณอ่อนแอก็จงไปทำตัวเองให้เข้มแข็งแล้วมาสู้ใหม่"


และประมาณว่า (ประมวลจากคำให้สัมภาษณ์)

"ผมไม่ใช่พระเจ้าที่จะมาล่วงรู้อนาคตว่า ณ เวลานี้คุณโชว์ได้ไม่ดี
แล้วถ้าคัดคุณผ่านเข้ารอบไป คุณจะทำได้ดีมากผมตัดสินจากที่ผมเห็นวินาทีนี้"

-เพชร มาร์-

"การแข่งขันมีได้ก็ต้องมีเสีย มีแพ้มีชนะ คุณคิดว่าคุณได้อย่างเดียวเหรอ
...มงกุฎมีอันเดียวนะคะคุณ เขาไม่ได้ทำมาสิบแปดอัน ไม่อย่างนั้นก็เป็นสิบแปดมงกุฏ"

-อรนภา กฤษฎี-

"ร้องไห้ไปเถอะ แต่ขอให้ปรับปรุง เพราะถ้าคุณร้องแล้วไม่พยายามทำอะ ไรให้ดีขึ้น มันก็เป็นแค่น้ำตาที่ไหลออกมา
แล้วก็เหือดหายไป แต่ถ้านำตานั้นสามารถกลายเป็นแรงกระตุ้นให้คุณฮึดสู้เพื่อต้องการเอาชนะให้ได้ ผมจะดีใจ
และผมไม่เสียใจที่เห็นคุณร้องไห้"
-สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา-
ข้อความเหล่านี้ทั้งหมดจัดได้ว่าเป็นความคิดเห็นของผู้บริหารและคณะกรรมการที่มีต่อผู้เข้าแข่งขันรายการ ซึ่งเป็นข้อคิดที่ลึกซึ้งและให้คุณประโยชน์สำหรับผู้ที่มีฝัน...ที่อาจจะท้อแท้ในบางขณะ เหนือสิ่งอื่นใดหนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือน 'บันทึก' ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของรายการนี้ไว้ เพราะในรุ่นที่ 2 วันประกาศผลชนะเลิศ ระดับเรตติ้งความนิยมที่คนเปิดรับชมสูงกว่าละครหลัข่าวช่อง 7 สี (แชมป์ละครหลังข่าว) นั่นแสดงให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่นิยมเสพความับเทิงในหลากหลายรูปแบบและแน่นอนว่าผู้แสดงนั้นจะต้องมีความสามารถมากพอที่จะโน้มน้าวให้คนนั่งอยู่บ้านและเปิดรับชมทีวี โดยที่ภายในเล่มยังบรรจุเรื่องราวของที่มาของรายการอย่างละเอียด คำสัมภาษณ์ของผู้ชนะเลิศโครงการ 1 อย่างคุณสนทนา ชิตมณี รวมถึงรูปภาพในขณะเข้าประกวดในรุ่นที่ 1-2 มากมาย หนอนอ้วนอย่างผมไม่ทราบว่าขณะนี้ตามร้านหนังสือชั้นนำยังจะพอมีจำหน่ายอยู่หรือไม่ แต่ถ้าติดต่อผ่านสำนักพิมพ์หรือบริษัทต้นสังกัดน่าจะยังพอมีอยู่ ราคาเล่มละ 170 บาท หากเพื่อนหนอนท่านใดที่มีฝันอยากเป็นนักร้องและชื่นชอบรายการเรียลลิตี้น้ำดีรายการนี้ก็สามารถสั่งซื้อได้นะครับ

นอกจากนี้รายการ "เดอะสตาร" ยังสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพประดับวงการบันเทิงมากมายไม่ว่าจะเป็น สน , นิว-จิ๋ว , บิว จากรุ่น 1 เอ็ม , นิค , พีท , เอิร์น จากรุ่น 2 บี้ , อาร์ , มิว จากรุ่น 3 แก้ม , รุจ , ต้น , ดิว , แป้ง จากรุ่น 4 ดิว , แกรนด์ , สิงโต , กิ่ง , ฟลุค , น้ำตาล , โส จากรุ่น 5 และ กัน , ริท , โตโน่ จากรุ่นล่าสุดคือรุ่นที่ 6 รวมถึงภาพจำของพิธีกรที่มีผลพลอยได้อย่าง แฟรงค์ และเอกกี้ (อดีตศิลปินบอยแบรนด์) ก็ได้ชื่อว่าคนจดจำได้จากรายการนี้ และในเร็วๆนี้เดือนพฤศจิกายน รายการที่จะค้นทั่วฟ้าตามคว้าดาวจะกลับมาอีกครั้งในฤดูกาลที่ 7

เพราะ...เมื่อทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน ถนนของคนตะกายดาวจึงเกิดขึ้น
และจะทำให้โลกรู้...ว่าฉันจะเป็นดาว แล้วเพลงชาติประจำรายการจะกลับมาดังกู่ก้องจักรวาลอีกครั้ง
"เพื่อดาวดวงนั้น"

3 สิงหาคม 2553

::: นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวักตก :::




หากว่าครั้งหนึ่งในชีวิตคุณมีโอกาสได้รับบทเป็นนักเขียน

...เขียนหนังสือดีๆ ในสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นคุณสักเล่มหนึ่ง

คุณอยากจะใช้ชื่อหนังสือนั้นว่าอะไร ?

คิดกันออกไหมครับ...หรือว่าในชีวิตนี้ยังไม่มีความคิดที่จะอยากเป็นนักเขียน จึงทำให้ไม่สามารถตอบคำถามของผมได้

ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว...แต่ที่ครั้งนี้ผมเริ่มเปิดประเด็นมาในลักษณะนี้เพราะว่า ผมประทับใจหนังสือรวมความเรียงหวานแบบเหงาๆ เศร้าแบบอุ่นๆซึ่งมาเป็นระลอกที่สอง (เขาแทนค่าตัวเองว่าแบบนั้น) ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ a book โดยใช้ชื่อสุดหวาน แอบเท่ ว่า "นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก" ประพันธ์สรรค์สร้างโดย ทรงกลด บางยี่ขัน

ซึ่งนักประพันธ์ท่านนี้ถือว่าเป็น 'หน้าใหม่' สำหรับผม เพราะโดยส่วนใหญ่ผมจะอ่านหนังสือประเภทนวนิยาย เรื่องสั้น เป็นหลัก แต่ด้วยอารมณ์ครึมๆคล้ายกับฤดูกาลในช่วงนี้ อยากจะสัมผัสอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิม...แน่นอนว่าร้านหนังสือคือเป้าหมายสำหรับผม โดยที่หนังสือเล่มนี้ได้ชำระเงินที่ร้านหนังสือดอกหญ้า สาขาอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ก่อนเกิดเหตุจราจลประมาณ 1 เดือน) ผมไม่คิดมากเลยที่หยิบหนังสือเล่มนี้ พร้อมกับประกาศว่ากระดาษรวมเล่มที่ข้าพเจ้าถืออยู่นี้คือคำตอบสุดท้ายในวันนั้น สาเหตุเพราะชื่อเรื่องและหน้าปกที่ออกแบบได้น่ารัก น่าหยิก (โดยที่ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาภายในจะกล่าวถึงเรื่องอะไร ประมาณไหน เพราะหนังสือมีการหุ้มปกพลาสติก) ประกอบกับมีการทำแผนการตลาด Slae Promotion โดยแถมโปสการ์ดแนวเรทโทรย้อนยุค ด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ก็น่าจะเกินพอกับปริมาณเงินจำนวน 160 บาท ที่จำต้องหายไปในบัดดล

หลังจากนั้นช่วงเวลาแห่งการ 'เสพ' จึงเริ่มต้นขึ้น โดยที่เมื่ออ่านไปได้ประมาณ 1-2 บท ผมพบกับตัวอักษรภาษาไทยที่คุ้นเคยคือ "ง" และ "ง" ครับ ที่ตัวอักษรดังกล่าวพบกันโดยไม่ได้นัดหมายก็เพราะว่าเนื้อเรื่องที่ชวนทำให้ผมสงสัยว่าจะนำมาเขียนเพื่ออะไร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนักอ่านนะครับ เพราะเมื่อผู้รับสารไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่มีประสิทธิภาพแน่นอน

ผมจึงตั้งใจที่จะเป็นผู้รับสารที่ดีอีกครั้ง ซึ่งมันก็ได้ผลหลังจากที่ผมพลิกหน้ากระดาษไปเกือบครึ่งเล่ม ความเข้าใจเริ่มเข้ามาทักทายเสมือนญาติสนิทที่จากกันไปประมาณสามถึงสี่วัน พร้อมกับความสนุกสนานของพาเหรดตัวอักษรที่ค่อยๆเดินนวยนาดอย่างไม่รีบร้อน พลอยทำให้รอยยิ้มมุมปากของผมค่อยๆผุดขึ้นอย่างช้าๆ แน่นอนผมเริ่ม 'สัมผัส' กับสิ่งที่ผู้เขียนพยายามสื่อสารมาถึงผม

หนังสือเล่มนี้จุดเด่น...ที่โดดเข้ามากระแทกใจหนอนอ้วนๆอย่างผมอยู่ที่การเลือกใช้คำที่แสนวิจิตรตระการเฟี้ยวเงาะในฉบับเหนือคำบรรยาย เพราะมีการนำโวหารการพรรณาเข้ามาปรับใช้จนบังเกิดภาพเสมือนจริง จึงสามารถอนุมานได้ว่าผู้เขียนคงนำเข้าเครื่องปั่นแล้วกดความแรงสูงสุดจนภาษาที่สวยงามแทรกซึมเข้าทุกอณูของหนังสือ....ไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใดครับ ถ้าเพื่อนหนอนท่านใดเคยสัมผัสกับ 'ลีลา' ภาษาเขียนของคุณทรงกลด บางยี่ขัน จะทราบดีว่าของเขา 'เด็ดดวง' ขนาดไหน!

เริ่มต้นที่ชื่อเรื่องก่อนนะครับ โดยที่มานั้นเกิดขึ้นจากความบังเอิญที่ผู้ประพันธ์ได้มีโอกาสนั่งรถทัวร์เดินทางจากต่างหวัดเพื่อกลับสู่เมืองหลวง โดยที่ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยามเย็น ผู้ชายที่มีความคิดเหมือนลมหายใจอย่างคุณทรงกลด คงไม่พลาดที่จะจินตนาการว่าเมื่อมีทิศตะวันตกแล้ว ความเป็นไปได้ที่มีจะมีทิศตะวันตื่นจะมีมากน้อยเพียงใด...สิ่งนี้คือสมมติฐานที่ไม่ต้องการคำตอบ (เพราะคงตอบไม่ได้) แต่ทว่าชื่อ "นั่งทิศตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก" ก็ได้มาใช้เป็นชื่อคอลัมน์ในนิตยสารเล่มหนึ่งนับจากหนึ่งเดือนถัดมา

ความสนุกสนานของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การนำสิ่งเล็กๆน้อยๆ (คือมันเล็กและน้อยจริงๆนะครับ) ซึ่งหลายคนอาจจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป เพราะไม่เห็นความสำคัญอะไรที่ต้องใส่ใจอะไรมากมาย แต่ผู้ประพันธ์กลับตัดคำว่าไม่ออก แล้วนำเรื่องเหล่านั้นมาใส่ลงในใจอย่างเต็มที่ เพื่อบอกเล่าให้กับผู้อ่านผ่านตัวอักษร โดยที่คอนเซ็ปต์ในการประพันธ์ในบริบทนี้เป็นการมองโลกแบบตั้งคำถามในเชิงวิทยาศาสตาร์และโอบล้อมด้วยโลกสมมติ คือการอ้อนวอนจากจิตนาการโดยรวมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "ผีร้ายไวรัส" โดยเปิดเรื่องจากประเด็นปัญหาสุขภาพของมนุษย์ว่าเมื่อโดนแดด โดนฝนมากอาจจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย เมื่อเปิดเรื่องมาเช่นนี้เรื่องดูท่าว่าจะจบลงที่ไวรัสต่างๆที่เข้ามาขอร่างกายพักอาศัยแล้วทำลายไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ?...แต่เปล่าเลย บทนี้กล่าวถึงไวรัสต่างๆที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบอีเมล์ การปล่อยไวรัสของผู้ไม่ประสงค์ดี รวมถึงการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส เหล่านี้คือเรื่องเล็กน้อยที่ไม่คิดว่าจะมีผู้ประพันธ์ท่านใดนำมาสรรค์สร้างเป็นเรื่องราวโดยผ่านภาษาที่น่ารักน่าชัง ไม่ว่าจะเป็น "หลวงพ่อนอร์ตัน" (ชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส) หรือตอนจบลงท้ายว่าขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง(คอมพิวเตอร์)ด้วย ภาษาเหล่านี้เป็นการประดิษฐ์เพื่อให้เกิดภาพ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายอีกทั้งยังเสริมสร้างจิตนาการที่วิจิตร

แม้แต่เรื่อง "ยืดญาติ" กล่าวถึงประเพณีเช้งเม้ง เสมือนเป็นกิจกรรมรวมตัวของบรรดาลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีนมาร่วมกันทำพิธีไหว้บรรพบุรุษ โดยที่ผู้เขียนให้ทัศนะว่าแต่เดิมมีลูกหลานมาร่วมกันทำพิธีกันอย่างมากมาย ลูกตาแดงหลานยายดำมากันหมด เพราะแต่ก่อนยังอยู่ในวัยเยาว์ ภาระหน้าที่รับผิดชอบมีไม่มากนัก แต่ทว่าเวลาเปลี่ยนสิ่งต่างๆย่อมเปลี่ยนแปลง เมื่อลูกตาแดงหลานยายดำโตเข้าวัยหนุ่มสาว ข้ออ้างต่างๆเริ่มเจริญเติบโตตามไปด้วย ความสำคัญของพิธีเช้งเม้งย่อมลดน้อยลงตามวาระของแต่ละครอบครัว เมื่อการ "ยืด" ปริมาณของ "ญาติ" มีมากขึ้น พิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมของบรรดาลูกหลานย่อมมีน้อยลง นี่เป็นอีกหนึ่งบทที่ผู้เขียนพยายามเล่นคำกับชื่อเรื่อง (ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นทุกเรื่อง) นอกเหนือจากความสนุกสนานด้านภาษาประพันธ์ สิ่งที่ได้รับคือความเป็นจริงของสภาพสังคมปัจจุบัน ที่เป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น เมื่อต่างคนต่างมีครอบครัวของตนเอง ความใส่ใจในบทบาทและกน้าที่ของลูกหลานที่ดีย่อมหมดไปกับภาระการเป็นสามีและภรรยาที่ดีเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะสามารถยืดญาติที่สามารถมาร่วมงานอีกได้มากน้อยแค่ไหน...สุดที่จะพรรณา



ขอแนะนำอีกสักเรื่อง "คนที่คงที่" กล่าวถึงการคงเอกลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ทรงผม หรือเครื่องประดับของชายวัยเลยงานแซยิดมามากกว่า 10 ปีที่ผู้ประพันธ์เฝ้าแอบมองและพิจารณาในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับชามก๋วยเตี๊ยว ซึ่งแน่นอนว่าคุณลุง ผู้เป็นเป้าสายตาก็นั่งอยู่ในร้านเช่นเดียวกัน ผู้ประพันธ์พยายามสื่อว่า...แม้ว่าเข็มนาฬิกาจะเดินแซมวิ่งไปกว่าร้อยกว่าพันกิโลเมตร แต่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่หยุดเวลาไว้ด้วยความชอบของตนเอง ไม่ได้ปล่อยให้เวลากระชากความเป็นตัวของตัวเองไปตามกระแสของแฟชั่น โดยที่บทนี้ขอยกตัวอย่างข้อความจากปลายปากกาที่เลือกคำได้ 'เหลือกิน' ซะเหลือเกิน

'ธุระหลักของผมในวันนี้คือ การไปเยี่ยมเยือนหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาประจำการในอาคารเก่าแก่ย่านเกาะรัตนโกสินทร์ได้ไม่นาน ผมบริเวลาในการเดินทางไม่ดีนัก เลยโดนเวลาช่วงพักเที่ยงวิ่งปราดหน้าพรากเอาเจ้าที่ผู้เกี่ยวข้องไปจากผมต่อหน้าต่อตา นาฬิกาติดผนังยุคมิลเลเนียม และโต๊ะรับแขกยุคปี 80 ไม่เชื้อเชิญให้ผมนั่งรอ แถมยังไล่ให้ผมออกไปหาอะไรกินให้สำราญพุงให้สมกับช่วงเลา 60 นาทีทองแห่งความสุข"

นี้เป็นส่วนหนึ่งที่คัดลอกมาเพื่อการันตีความเด็ดดวงของภาษาที่อ่านแล้วแสบทรวงสุดๆ

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ความรักปลอดสารพิษ,คำสันยา,อู่สู่รู้,ความสัมพันธ์แน่นแฟ้ม,เฉยเมย,พับผ่าสิ! และสหายตัวอักษรอีกมากมาย ซึ่งผมขอการันตีได้ว่าอ่านจากชื่อเรื่องเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องแน่ว่าเนื้อเรื่องรวมถึงตอนจบจะเป็นเช่นไร เพราะนายทรงกลด บางยี่ขัน พร้อมที่จะขยี้หัวใจนักอ่านด้วยภาษาที่คมคายและเด็ดดวงจริงๆ

ผมขอสารภาพอย่างไม้บรรทัดขนาดยาว (ตรงๆ) ว่าการแนะนำหนังสือในครั้งนี้จะจำกัดปริมาณตัวอักษรให้น้อยที่สุด เพื่อที่ต้องการให้เพื่อนหนอนของกระผมทุกคนได้เสพกับความสุขของจินตนาการที่ผู้ประพันธ์พยายามรังสรรค์อย่างวิจิตรเองกันดีกว่า เพราะผมเชื่อได้แน่นอนว่าหากเพื่อนหนอนได้มีโอกาสสัมผัสกับวาระแห่งความเรียงเล่มนี้ ความรู้สึกคลั่งไคล้และอยากสมัครเป็น 'แฟนคลับ' ของนักประพันธ์ผู้ล้ำเลิศไปด้วยการสรรคำผู้นี้ตลอดไป

โดยที่นอกจากหนังสือเล่มนี้แล้ว ทรงกลด บางยี่ขัน ยังมีผลงานเรื่องอื่นๆอีก อาทิ นายเท้าซ้าย เด็กชายเท้าขวา , สองเงาในเกาหลี , ต้นไม้ใต้โลก , เมฆ , หมอก , ดอกไม้ใต้โลก ฯลฯ ซึ่งผมขอใช้เกียรติของความเป็นหนอนกล่าวหนักๆแรงๆไว้ตรงนี้เลยว่านอกจากผลงานที่กล่าวมาแล้ว ทรงกลด บางยี่ขัน ต้องมีผลงานออกมาอีกไม่ต่ำกว่า 10-20 เล่มแน่นอน เพราะเขามีจิตวิญญาณของนักประพันธ์อย่างเต็มตัว สามารถสร้างความสุขให้กับบรรดาหนอนได้อย่างเปรมปรีดิ์

เอาเป็นว่าสั้นๆง่ายๆนะครับ ผมอยากให้เพื่อนหนอนของผมมีความสุขเหมือนผมในแบบฉบับที่ไม่ต้องการคำตอบใดกับคำถามที่ว่า "นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก" หมายความว่าอะไร

บางครั้งคำตอบก็ไม่จำเป็นต้องควบคู่กับคำถามเสมอไป...คุณคิดเหมือนผมไหม?